หน้าแรก ท่องเที่ยว บอกเล่าเรื่องเที่ยวประเทศอังกฤษ สโตนเฮ้นจ์-เมืองบาธ ท่องเที่ยวยุโรป บอกเล่าเรื่องเที่ยวประเทศอังกฤษ สโตนเฮ้นจ์-เมืองบาธ โดย goffymew - กรกฎาคม 16, 2019 1308 1 Facebook Twitter Google+ Pinterest WhatsApp ปีนี้เราไปเที่ยวอังกฤษในช่วงสงกรานต์ ด้วยความที่เราเตรียมตัวมาอย่างดี จึงจองทัวร์ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม เหตุที่เราเลือกไปกับทัวร์ เพราะสะดวกดี ไม่ต้องเตรียมการให้ยุ่งยากวุ่นวาย และที่สำคัญได้แต่งตัวสวยๆทุกวัน เพราะไม่ต้องพะวงเรื่องน้ำหนักในการแบกกระเป๋าไปมา เรารอเพียงบริษัททัวร์โทรมาให้เราไปทำวีซ่าเมื่อไหร่ และรอจ่ายเงินเท่านั้นเอง การเที่ยวประเทศอังกฤษสิ่งที่เราต้องเตรียมคือ 1.การเช็คอุณหภูมิ เพราะปีนี้อากาศแปรปรวนมาก ถึงแม้จะเป็นเดือนเมษายนซึ่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของที่ประเทศอังกฤษแต่อากาศยังหนาวอยู่เลย เราเตรียมเสื้อ ฮีทเท็ค โคทหนา และเสื้อ wool ไป และต้องเตรียมร่มกับเสื้อกันฝนไปด้วย 2.ปลั๊กไฟที่อังกฤษใช้ไฟ 220 โวลล์ และปลั๊ก 3 ขาแบบฮ่องกง 3. เครือข่ายโทรศัพท์ เราเลือกใช้ sim 2 fly แบบ 4GB 15 วัน ราคา 870 บาทและ เราใช้ app dtac wifi calling เพื่อใช้ในการรับสายและโทรออก 4. เราทำประกันการเดินทางเพิ่มเติมจากบริษัททัวร์ เพราะกลัวว่าอาจจะไม่สบายหรือเจ็บป่วยที่โน่น และราคาก็ไม่แพงเพียง 450 บาทต่อ 10 วัน และแล้วก็ถึงวันที่เราเดินทางไปเที่ยวอังกฤษกัน วันที่ 9 เมษายน 2561 พวกเราเดินทางสู่ลอนดอนโดยการบินไทยเที่ยวบิน TG 910 ถึงสนามบินฮีทโธรว์เวลา 07.10น ใช้เวลาเดินทาง 10.55 ชม เวลาที่ลอนดอนช้ากว่าเมืองไทย 6 ชั่วโมง เรานั่งริมหน้าต่างด้านขวา แต่มองไม่เห็นวิวอะไรเลยเพราะหมอกปกคลุมไปหมด พอลงจากเครื่องบินทุกคนก็วิ่งไปตม.กันใหญ่..ไปถึงที่ตม.คนเยอะมากมาย…เราเลยถามไกด์ว่าทำไมคนเยอะจัง ที่แท้ ตม.เขาเปิด 6 โมงเช้า เพราะที่สนามบินเขาไม่มีเที่ยวบินเวลากลางคืน ดังนั้นทุกไฟลท์ที่มาตอนเช้าจึงมุ่งหน้าสู่ ตม.กันเยอะมาก พวกเราติดอยู่ที่ตม.เกือบ 2 ชม. จึงได้ออกมา พอออกมาจากสนามบินก็เจอกับสภาพอากาศแบบนี้ ฝนตกและที่สำคัญหนาวมากด้วย อุณหภูมิวันนี้ 7 องศา..เพื่อการเที่ยวสู้ตายคะ พวกเราจะเดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อยๆที่แรกที่เราจะไปวันนี้คือ สโตนเฮ้นจ์ ( Stonehenge)ตั้งอยู่ที่เมือง ซัลลิสเบอร์รี่(Salisbury) ระยะทาง 117 กม.ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง เส้นทางไปสโตนเฮ้นท์ ไม่มีแนวเขาเลย เป็นทุ่งหญ้าราบเรียบไปตลอดแนว สโตนเฮ้นจ์ (Stonehenge) เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่กลาง “ทุ่งราบซัลลิสเบอร์รี่” (Salisbury Plain) บริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ เป็นลานทุ่งกว้าง จะมองเห็นแท่งหิน มีจำนวนแท่งหินทั้งหมด 112 ก้อน ตั้งเรียงเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง และวางเรียงในลักษณะที่ต่างกัน ทั้งวางนอน วางพาดกัน และวางตั้งขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณอายุของหินกลุ่มนี้ น่าจะอายุกว่า 5,000 ปีแล้ว การไปชมสโตนเฮ้นจ์ จะต้องเปลี่ยนรถ โดยพวกเราจะต้องอาศัยรถเล็กโดยสารจากทางที่นี่จัดให้ จะมองเห็นท่อเป็นที่กันเพื่อทำให้ต้นไม้โต เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้ต้นไม้จะล้มได้ง่าย พอมันแข็งแรงดี ก็เอาท่อออก ว่ากันว่านายจอห์น ออบรีย์ ผู้ค้นพบ หลุมออบรีย์ ในคริสต์ศตวรรษ 17 จึงเรียกชื่อหลุมตามผู้ค้นพบ โดยหลุมนี้จะอยู่รอบๆของสโตนเฮนจ์ ซึ่งสันนิฐานว่าตามความเชื่อของคนตายว่ามีโลกหน้าเขาก็จะมีการฝังบางสิ่งบางอย่างในหลุมนั้น และนักวิทยาศาสตร์ได้เจอเศษข้าว และเขานำเศษข้าวไปทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ทราบว่าอายุของหลุมนี้มีประมาณ 5,000 กว่าปีแล้ว ปัจจุบันหลุมดังกล่าวถูกลาดทับด้วยปูนซีเมนต์ พวกเราเดินฝ่าฝนที่ตกและความหนาวเย็นเพื่อไปชมสโตนเฮ้นจ์ เราตื่นเต้นมาก เห็นกองหินมหึมาแต่ไกล เห็นคนจำนวนมากมาย สโตนเฮ้นจ์ที่เราเห็นนั้นเป็รูปวงรีล้อมประกอบด้วยหินด้านนอกและด้านใน ด้านนอกหินที่เราเห็นอยู่นี้เรียกว่าหินซาร์เซน(sarsen) น้ำหนักแต่ละก้อนประมาณ 40 ตันหรือเท่ากับรถบัส 2คัน เชื่อกันว่าหินซาร์เซนพวกนี้มาจาก“ทุ่งมาร์ลโบโร” (Marlborough Downs)ถ้านั่งรถไปก็ต้องใช้เวลาประมาณ 40 กิโลเมตร ไม่น่าเชื่อว่าจะมีการเคลื่อนย้ายหินพวกนี้มาได้เลย เพราะมองไปก็เห็นแต่ทุ่งกว้าง ส่วนด้านในเรียก blue stone ซึ่งพบได้บริเวณภูเขาพรีเซลีทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์ แต่หินพวกนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน (บ้างก็สันนิษฐานว่า ใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก ) หิน blue stone เชื่อกันว่ามีพลังงานพิเศษแต่ โดนทำลายในช่วงล่าแม่มด ( ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงาน มีความรู้ สามารถรักษาโรคได้ จึงทำให้ดูแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไป ว่ากันว่าแม่มดจะมาทำลายราชวงศ์อังกฤษ โดยกษัตริย์เจมส์ที่ 1 ได้มีการทำบันทึกไว้สำหรับการล่าแม่มด จึงทำให้มีการล่าแม่มดเยอะมาก) และถูกทุบทำลายลงไป บางคนก็นำมาเก็บไว้ หรือไปแกว่งในน้ำเพราะเชื่อว่าสามารถรักษาโรคได้ บ้างก็นำมาห้อยคอเชื่อว่าป้องกันเภทภัยได้ ความสูงของหินจากสายตาประมาณ 4 เมตร แต่ยังไม่เท่านั้นมันยังมีความลึกอีก 2 เมตร ฉะนั้นการเคลื่อนย้ายหินเหล่านี้อาจจะใช้หลักวิศวกรรมหรือ มนุษย์ต่างดาวหรือ พ่อมดหมอผีเสกมา ทำให้เกิดจินตนาการไปต่างๆนานา และการจัดเรียงหินซ้อนกัน ซึ่งในสมัย 5,000 กว่าปีที่แล้วยังไม่มีการขุดแร่เพื่อทำมาใช้เป็นวัสดุในงานช่าง มีเพียงเขาสัตว์เท่านั้น ในการทำแง่งหิน มันจึงไม่ง่ายเลยเพื่อทำให้หินซ้อนกันในลักษณะเช่นนี้ได้ มีความเชื่อต่างๆเกี่ยวกับสโตนเฮ้นจ์ โดย ชาวลัทธิดรูอิด ในเดือนมิถุนายน เป็นวันที่พระอาทิตย์ขึ้นและตกช้าที่สุด เขาจะแต่งชุดสีขาว เชื่อว่าเขาจะมารับพลังงานพิเศษ โดยปกติที่นี่เขาจะมีการขึงลวดสลิงกั้น แต่เวลาประกอบพิธี เขาจะเอาลวดออกและอนุญาติให้เฉพาะคนลัทธินี้เข้าไปประกอบพิธีเท่านั้น หรืออีกความเชื่อว่าน่าจะเป็นนาฬิกาดาราศาสตร์ เนื่องจากองศาต่างๆในการวางหินมันตรงกับระบบของดวงดาวและแสงอาทิตย์ การเรียงของหินตรงตามการเรียงของนักดาราศาสตร์ หรือเชื่อว่ามันเป็นสถานพยาบาลเพราะเขาขุดเจอกระดูกของคนที่ได้รับบาดเจ็บ หรือคนไม่สบายและเดินทางมารับการรักษาที่นี่ แต่อย่างไรก็ตามสโตนเฮ้นจ์ ก็ยังคงเป็นปริศนาลึกลับ และก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้างสิ่งมห้ศจรรย์แห่งนี้ พวกเราเดินชื่นชมได้ไม่นานก็รีบกลับไปขึ้นรถ เพราะลมแรง ฝนตก และหนาวมาก เราจึงเดินทางเพื่อไปยังที่ต่อไป จุดหมายต่อไปเราไปยังเมืองบาธระยะทาง 88 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง เราแวะรับประทานอาหารกลางวันกันก่อนเที่ยวชมเมือง มื้อนี้รับประทานอาหารท้องถิ่น โดยเฉพาะสลัดผักขมใส่ไข่ดาวน้ำ( poached egg) และ แฮมสไตล์อังกฤษ อร่อยมาก บาธ (Bath) เป็นเมืองที่ ตั้งอยู่บนหุบเขาอยู่ริมแม่น้ำเอวอน เงียบสงบมีีประชากรประมาณ 80,000 คน และได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกตั้งแต่ค.ศ.1987 ทำให้เมืองนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมมากมาย เมีองนี้มีที่เที่ยวหลากหลาย แต่ที่เราจะเข้าชมคือพิพิธภัณฑ์ น้ำแร่ร้อนโรมัน ( Roman Bath Museum) พวกเราเดินมายังพิพิธภัณฑ์เจอฝูงชนเยอะมาก บริเวณด้านหน้ามีโครงกระดูกขี่จักรยาน ซึ่งบริเวณนี้เป็นจุดนัดพบของพวกเรา อยู่ใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์ บาธ จะเห็นมหาวิหารบาธ (Bath Abbey) สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 12 และยังคงตั้งสูงตระหง่านสวยงาม เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ อาคารเมืองบาธเป็นอาคารสไตล์จอร์เจียน อาคารจะเป็นสีเดียวกันโดยใช้หินสีน้ำผึ้งและทั้งเมืองก็จะใช้สีเหมือนกันหมด จะมีการผสมผสานศิลปโรมันจะนำหัวเสาแบบดอริค ไอโอนิค ทำให้สวยงามดูมีสเน่ห์ ประวัติความเป็นมาของโรงอาบน้ำโรมันแห่งนี้ เมื่อ 2,000กว่าปีก่อนชาวโรมันได้ บุกรุกอังกฤษแล้วก็ได้สร้างสาธารณูปโภคมากมาย เช่น ถนนหนทาง สิ่งก่อสร้าง รวมไปถึง โรงอาบน้ำสาธารณะ (Roman Bath) ซึ่งโรงอาบน้ำมันไม่ได้เป็นแค่ที่อาบน้ำของชาวโรมัน แต่มันเป็นแหล่งนัดพบปะพูดคุยกัน คุยเรื่องการเมือง คุยเรื่องธุรกิจ และอื่นๆหลากหลาย ในยุคแรกชาวโรมันได้แค่เพียงบ่อแช่น้ำแต่หลังจากนั้นชาวโรมันได้สร้างโรงอาบน้ำและสร้างวิหารและสร้างรางส่งน้ำ เพื่อที่จะให้ประชาชนได้ใช้ หลังจากโรมันออกจากอังกฤษโรงอาบน้ำแห่งนี้ก็โดนทิ้งร้างไว้ จนศตวรรษที่ 16 ชาวอังกฤษพบว่ามีน้ำแร่ร้อนแต่ไม่รู้ว่าข้างใต้มีRoman bathอยู่ และได้สร้าง King Bath เพื่อให้กษัตริย์และชนชั้นสูงมาอาบน้ำ จนศตวรรษที่ 17 จะมีการขยาย King Bath จึงพบว่ามี ซาก Roman bath อยู่ข้างล่างและจากการค้นพบอักษรที่จารึกไว้ และได้ทำขึ้นเป็นพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมกัน พวกเราเดินเข้าไปภายในพิพิธภัณฑ์ มีแบบแปลนจำลองของ Roman Bath ทิศเหนือของบ่อน้ำร้อนมีการสร้างเสาระเบียงเรียงรายประกอบเป็นวิหาร Sulis Minerva และทิศใต้มีการสร้างสถานที่อาบน้ำแบ่งเป็นห้องต่างๆสำหรับอาบน้ำแร่เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์และเพื่อการบำบัดโรค The Terrace เป็นระเบียงชมวิว ที่มองลงมาเห็น Great Bath เป็นน้ำสีเขียว ว่ากันว่ามีแร่ธาตุมากกว่า 40 ชนิด จึงทำให้เห็นน้ำเป็นสีเขียว เค้าว่ากันว่าน้ำแร่ที่นี่สามารถรักษาโรคปวดข้อและกล้ามเนื้อได้ มองเห็นวิหารบาธอยู่ด้านหลัง รอบๆระเบียงมีรูปปั้นนักต่อสู้ เทพยดา ประดับอย่างสวยงาม Temple of Pediment เป็นหน้าจั่วที่หลงเหลืออยู่ ตรงกลางเป็น Gorgon ซึ่งเป็นตัวแทนของเทพ Sulis Minerva เทพธิดาแห่งน้ำ ตู้แสดงวัสดุอุปกรณีที่ใช้ในการสร้างถนนในสมัยโน้น ศีรษะเคลือบทองแดงของเทพธิดาแห่งน้ำ Sulis Minerva เขาจะมีการเส้นไหว้เทพธิดาแห่งน้ำ เพราะเชื่อว่าน้ำที่ขึ้นมาจากดินมาจากเทพเจ้า ในส่วนนี้จะแบ่งเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องนวด ห้องสปา ห้องสตรีม (แสดงว่ามีสตรีมมากว่า 2,000 ปี ) และเขาได้แสดงแบบมัลติวิชั่นประกอบให้เห็นว่าแต่ละห้องเขาใช้ทำอะไรบ้าง บ่อน้ำแร่ ศักดิ์สิทธิ์(Sacred Spring) เมืองบาธมีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ(hot springs)3แห่งด้วยกัน บ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดคือที่Roman Sacred Springว่ากันว่า ตาน้ำแร่นี้จะต้องขุดลึกลงไป 3000 เมตร ก็จะเจอตาน้ำ วันๆหนึ่ง จะผลิตน้ำออกมา 1,200,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน วัดอุณหภูมิได้ 46.5 องศาเซนเซียส circular plunge pool อ่างอาบน้ำ สำหรับแช่น้ำ Over Flow ทางระบายของน้ำ ก่อนจะออกจากที่นี่จะเห็นท่อส่งน้ำโบราณที่ชาวโรมันส่งน้ำแร่ออกไปข้างนอก ได้เห็นถึงความสามารถของชาวโรมันโบราณว่าเขาทำได้อย่างไรนะที่ทำท่อกลมๆแบบนี้ได้ ก่อนถึงทางออกมีน้ำแร่ให้ชิมด้วย แต่ขอบอกว่าไม่อร่อยเลย รสชาดคล้ายน้ำสนิม เราเดินชมโรงอาบน้ำ ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ออกมาเดินเล่นรอบเมืองกัน เมืองบาธมีร้านค้ามากมายมีร้านขายไอศครีม ร้าน holland and barret ร้าน mask and spencer เราได้เสื้อกันฝนที่ร้านนี้ ขนม และสตอเบอรี่ อร่อยมาก ลูกโต ราคาไม่แพงเลย มีเวลาซื้อของเล็กน้อยเราก็เดินทางต่อไปยังเมือง Cardiff เรารับประทานอาหารเย็นที่เมืองนี้ มื้อนี้เป็นอาหารจีน หลากหลายดี คืนนี้นอนพักที่โรงแรม Radisson blu cardiff เป็นโรงแรม 4 ดาว ที่นอนนุ่มมาก ถึงแม้โรงแรมจะอยู่กลางเมืองใกล้ที่ shopping แต่เราก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยเพราะเพลียจากการเดินทางและที่สำคัญ ร้านค้าที่นี่ปิด 19.00 น. พักผ่อนเพื่อเอาแรงไว้เที่ยวพรุ่งนี้ดีกว่า ต่อไป เบอร์ตัน ออนเดอะวอเตอร์-สแตนฟอร์ด อัพพอน เอวอน บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากผู้เขียน ท่องเที่ยว เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Istanbul ท่องเที่ยว เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Camlica Mosque-Beylerbeyi Palace ท่องเที่ยว เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Topkapi Palace 1 ความคิดเห็น […] กลับไปวันแรก สโตนเฮ้นจ์-เมืองบาธ […] ตอบ ทิ้งคำตอบไว้ ยกเลิกการตอบ Please enter your comment! Please enter your name here You have entered an incorrect email address! Please enter your email address here Save my name, email, and website in this browser for the next time I comment. Recent posts เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Istanbul goffymew - ธันวาคม 18, 2019 0 เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Camlica Mosque-Beylerbeyi Palace goffymew - ธันวาคม 15, 2019 0 เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Topkapi Palace goffymew - พฤศจิกายน 30, 2019 0 Random article เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Istanbul เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Camlica Mosque-Beylerbeyi Palace เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Topkapi Palace เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Hippodrome,Blue Mosque
[…] กลับไปวันแรก สโตนเฮ้นจ์-เมืองบาธ […]