ปีนี้เราไปเที่ยวอังกฤษในช่วงสงกรานต์ ด้วยความที่เราเตรียมตัวมาอย่างดี จึงจองทัวร์ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม เหตุที่เราเลือกไปกับทัวร์ เพราะสะดวกดี ไม่ต้องเตรียมการให้ยุ่งยากวุ่นวาย และที่สำคัญได้แต่งตัวสวยๆทุกวัน  เพราะไม่ต้องพะวงเรื่องน้ำหนักในการแบกกระเป๋าไปมา  เรารอเพียงบริษัททัวร์โทรมาให้เราไปทำวีซ่าเมื่อไหร่ และรอจ่ายเงินเท่านั้นเอง

การเที่ยวประเทศอังกฤษสิ่งที่เราต้องเตรียมคือ

1.การเช็คอุณหภูมิ เพราะปีนี้อากาศแปรปรวนมาก ถึงแม้จะเป็นเดือนเมษายนซึ่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของที่ประเทศอังกฤษแต่อากาศยังหนาวอยู่เลย เราเตรียมเสื้อ ฮีทเท็ค โคทหนา และเสื้อ wool ไป และต้องเตรียมร่มกับเสื้อกันฝนไปด้วย

2.ปลั๊กไฟที่อังกฤษใช้ไฟ 220 โวลล์ และปลั๊ก 3 ขาแบบฮ่องกง

3. เครือข่ายโทรศัพท์ เราเลือกใช้ sim 2 fly แบบ 4GB 15 วัน ราคา 870 บาทและ เราใช้ app dtac wifi calling เพื่อใช้ในการรับสายและโทรออก

4. เราทำประกันการเดินทางเพิ่มเติมจากบริษัททัวร์ เพราะกลัวว่าอาจจะไม่สบายหรือเจ็บป่วยที่โน่น และราคาก็ไม่แพงเพียง 450 บาทต่อ 10  วัน

และแล้วก็ถึงวันที่เราเดินทางไปเที่ยวอังกฤษกัน

วันที่ 9 เมษายน 2561

พวกเราเดินทางสู่ลอนดอนโดยการบินไทยเที่ยวบิน TG 910 ถึงสนามบินฮีทโธรว์เวลา 07.10น ใช้เวลาเดินทาง 10.55 ชม

เวลาที่ลอนดอนช้ากว่าเมืองไทย 6 ชั่วโมง

เรานั่งริมหน้าต่างด้านขวา แต่มองไม่เห็นวิวอะไรเลยเพราะหมอกปกคลุมไปหมด พอลงจากเครื่องบินทุกคนก็วิ่งไปตม.กันใหญ่..ไปถึงที่ตม.คนเยอะมากมาย…เราเลยถามไกด์ว่าทำไมคนเยอะจัง ที่แท้ ตม.เขาเปิด 6 โมงเช้า เพราะที่สนามบินเขาไม่มีเที่ยวบินเวลากลางคืน ดังนั้นทุกไฟลท์ที่มาตอนเช้าจึงมุ่งหน้าสู่ ตม.กันเยอะมาก พวกเราติดอยู่ที่ตม.เกือบ 2 ชม. จึงได้ออกมา

พอออกมาจากสนามบินก็เจอกับสภาพอากาศแบบนี้ ฝนตกและที่สำคัญหนาวมากด้วย อุณหภูมิวันนี้ 7 องศา..เพื่อการเที่ยวสู้ตายคะ

พวกเราจะเดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อยๆที่แรกที่เราจะไปวันนี้คือ สโตนเฮ้นจ์ ( Stonehenge)ตั้งอยู่ที่เมือง ซัลลิสเบอร์รี่(Salisbury)  ระยะทาง 117 กม.ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง

เส้นทางไปสโตนเฮ้นท์ ไม่มีแนวเขาเลย เป็นทุ่งหญ้าราบเรียบไปตลอดแนว

สโตนเฮ้นจ์ (Stonehenge) เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก  ตั้งอยู่กลาง “ทุ่งราบซัลลิสเบอร์รี่” (Salisbury Plain) บริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ เป็นลานทุ่งกว้าง จะมองเห็นแท่งหิน มีจำนวนแท่งหินทั้งหมด 112 ก้อน ตั้งเรียงเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง และวางเรียงในลักษณะที่ต่างกัน ทั้งวางนอน วางพาดกัน และวางตั้งขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณอายุของหินกลุ่มนี้ น่าจะอายุกว่า 5,000 ปีแล้ว

การไปชมสโตนเฮ้นจ์ จะต้องเปลี่ยนรถ โดยพวกเราจะต้องอาศัยรถเล็กโดยสารจากทางที่นี่จัดให้ จะมองเห็นท่อเป็นที่กันเพื่อทำให้ต้นไม้โต เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้ต้นไม้จะล้มได้ง่าย พอมันแข็งแรงดี ก็เอาท่อออก

ว่ากันว่านายจอห์น ออบรีย์ ผู้ค้นพบ หลุมออบรีย์ ในคริสต์ศตวรรษ 17 จึงเรียกชื่อหลุมตามผู้ค้นพบ โดยหลุมนี้จะอยู่รอบๆของสโตนเฮนจ์ ซึ่งสันนิฐานว่าตามความเชื่อของคนตายว่ามีโลกหน้าเขาก็จะมีการฝังบางสิ่งบางอย่างในหลุมนั้น และนักวิทยาศาสตร์ได้เจอเศษข้าว และเขานำเศษข้าวไปทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ทราบว่าอายุของหลุมนี้มีประมาณ 5,000 กว่าปีแล้ว ปัจจุบันหลุมดังกล่าวถูกลาดทับด้วยปูนซีเมนต์

พวกเราเดินฝ่าฝนที่ตกและความหนาวเย็นเพื่อไปชมสโตนเฮ้นจ์

เราตื่นเต้นมาก เห็นกองหินมหึมาแต่ไกล เห็นคนจำนวนมากมาย

สโตนเฮ้นจ์ที่เราเห็นนั้นเป็รูปวงรีล้อมประกอบด้วยหินด้านนอกและด้านใน  ด้านนอกหินที่เราเห็นอยู่นี้เรียกว่าหินซาร์เซน(sarsen) น้ำหนักแต่ละก้อนประมาณ 40 ตันหรือเท่ากับรถบัส 2คัน เชื่อกันว่าหินซาร์เซนพวกนี้มาจาก“ทุ่งมาร์ลโบโร” (Marlborough Downs)ถ้านั่งรถไปก็ต้องใช้เวลาประมาณ 40 กิโลเมตร ไม่น่าเชื่อว่าจะมีการเคลื่อนย้ายหินพวกนี้มาได้เลย เพราะมองไปก็เห็นแต่ทุ่งกว้าง ส่วนด้านในเรียก blue stone ซึ่งพบได้บริเวณภูเขาพรีเซลีทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์ แต่หินพวกนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน (บ้างก็สันนิษฐานว่า ใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก )

หิน blue stone เชื่อกันว่ามีพลังงานพิเศษแต่ โดนทำลายในช่วงล่าแม่มด ( ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงาน มีความรู้ สามารถรักษาโรคได้ จึงทำให้ดูแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไป  ว่ากันว่าแม่มดจะมาทำลายราชวงศ์อังกฤษ โดยกษัตริย์เจมส์ที่ 1 ได้มีการทำบันทึกไว้สำหรับการล่าแม่มด จึงทำให้มีการล่าแม่มดเยอะมาก) และถูกทุบทำลายลงไป บางคนก็นำมาเก็บไว้ หรือไปแกว่งในน้ำเพราะเชื่อว่าสามารถรักษาโรคได้ บ้างก็นำมาห้อยคอเชื่อว่าป้องกันเภทภัยได้

ความสูงของหินจากสายตาประมาณ 4 เมตร แต่ยังไม่เท่านั้นมันยังมีความลึกอีก 2 เมตร ฉะนั้นการเคลื่อนย้ายหินเหล่านี้อาจจะใช้หลักวิศวกรรมหรือ มนุษย์ต่างดาวหรือ พ่อมดหมอผีเสกมา ทำให้เกิดจินตนาการไปต่างๆนานา และการจัดเรียงหินซ้อนกัน ซึ่งในสมัย 5,000 กว่าปีที่แล้วยังไม่มีการขุดแร่เพื่อทำมาใช้เป็นวัสดุในงานช่าง มีเพียงเขาสัตว์เท่านั้น ในการทำแง่งหิน มันจึงไม่ง่ายเลยเพื่อทำให้หินซ้อนกันในลักษณะเช่นนี้ได้

มีความเชื่อต่างๆเกี่ยวกับสโตนเฮ้นจ์ โดย ชาวลัทธิดรูอิด ในเดือนมิถุนายน เป็นวันที่พระอาทิตย์ขึ้นและตกช้าที่สุด เขาจะแต่งชุดสีขาว เชื่อว่าเขาจะมารับพลังงานพิเศษ โดยปกติที่นี่เขาจะมีการขึงลวดสลิงกั้น แต่เวลาประกอบพิธี เขาจะเอาลวดออกและอนุญาติให้เฉพาะคนลัทธินี้เข้าไปประกอบพิธีเท่านั้น

หรืออีกความเชื่อว่าน่าจะเป็นนาฬิกาดาราศาสตร์ เนื่องจากองศาต่างๆในการวางหินมันตรงกับระบบของดวงดาวและแสงอาทิตย์ การเรียงของหินตรงตามการเรียงของนักดาราศาสตร์

หรือเชื่อว่ามันเป็นสถานพยาบาลเพราะเขาขุดเจอกระดูกของคนที่ได้รับบาดเจ็บ หรือคนไม่สบายและเดินทางมารับการรักษาที่นี่

แต่อย่างไรก็ตามสโตนเฮ้นจ์ ก็ยังคงเป็นปริศนาลึกลับ และก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้างสิ่งมห้ศจรรย์แห่งนี้

พวกเราเดินชื่นชมได้ไม่นานก็รีบกลับไปขึ้นรถ  เพราะลมแรง ฝนตก และหนาวมาก เราจึงเดินทางเพื่อไปยังที่ต่อไป

จุดหมายต่อไปเราไปยังเมืองบาธระยะทาง 88 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง เราแวะรับประทานอาหารกลางวันกันก่อนเที่ยวชมเมือง

มื้อนี้รับประทานอาหารท้องถิ่น โดยเฉพาะสลัดผักขมใส่ไข่ดาวน้ำ( poached egg) และ แฮมสไตล์อังกฤษ อร่อยมาก

บาธ (Bath) เป็นเมืองที่ ตั้งอยู่บนหุบเขาอยู่ริมแม่น้ำเอวอน เงียบสงบมีีประชากรประมาณ  80,000 คน และได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกตั้งแต่ค.ศ.1987 ทำให้เมืองนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมมากมาย

เมีองนี้มีที่เที่ยวหลากหลาย แต่ที่เราจะเข้าชมคือพิพิธภัณฑ์ น้ำแร่ร้อนโรมัน ( Roman Bath Museum)

พวกเราเดินมายังพิพิธภัณฑ์เจอฝูงชนเยอะมาก

บริเวณด้านหน้ามีโครงกระดูกขี่จักรยาน ซึ่งบริเวณนี้เป็นจุดนัดพบของพวกเรา

อยู่ใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์ บาธ จะเห็นมหาวิหารบาธ (Bath Abbey) สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 12 และยังคงตั้งสูงตระหง่านสวยงาม เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้

อาคารเมืองบาธเป็นอาคารสไตล์จอร์เจียน อาคารจะเป็นสีเดียวกันโดยใช้หินสีน้ำผึ้งและทั้งเมืองก็จะใช้สีเหมือนกันหมด จะมีการผสมผสานศิลปโรมันจะนำหัวเสาแบบดอริค ไอโอนิค ทำให้สวยงามดูมีสเน่ห์

ประวัติความเป็นมาของโรงอาบน้ำโรมันแห่งนี้ เมื่อ 2,000กว่าปีก่อนชาวโรมันได้ บุกรุกอังกฤษแล้วก็ได้สร้างสาธารณูปโภคมากมาย เช่น ถนนหนทาง สิ่งก่อสร้าง รวมไปถึง โรงอาบน้ำสาธารณะ (Roman Bath)  ซึ่งโรงอาบน้ำมันไม่ได้เป็นแค่ที่อาบน้ำของชาวโรมัน แต่มันเป็นแหล่งนัดพบปะพูดคุยกัน คุยเรื่องการเมือง คุยเรื่องธุรกิจ และอื่นๆหลากหลาย

ในยุคแรกชาวโรมันได้แค่เพียงบ่อแช่น้ำแต่หลังจากนั้นชาวโรมันได้สร้างโรงอาบน้ำและสร้างวิหารและสร้างรางส่งน้ำ เพื่อที่จะให้ประชาชนได้ใช้ หลังจากโรมันออกจากอังกฤษโรงอาบน้ำแห่งนี้ก็โดนทิ้งร้างไว้ จนศตวรรษที่ 16 ชาวอังกฤษพบว่ามีน้ำแร่ร้อนแต่ไม่รู้ว่าข้างใต้มีRoman bathอยู่  และได้สร้าง King Bath เพื่อให้กษัตริย์และชนชั้นสูงมาอาบน้ำ จนศตวรรษที่ 17 จะมีการขยาย King Bath จึงพบว่ามี ซาก Roman bath อยู่ข้างล่างและจากการค้นพบอักษรที่จารึกไว้   และได้ทำขึ้นเป็นพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมกัน

พวกเราเดินเข้าไปภายในพิพิธภัณฑ์ มีแบบแปลนจำลองของ Roman Bath  ทิศเหนือของบ่อน้ำร้อนมีการสร้างเสาระเบียงเรียงรายประกอบเป็นวิหาร Sulis Minerva และทิศใต้มีการสร้างสถานที่อาบน้ำแบ่งเป็นห้องต่างๆสำหรับอาบน้ำแร่เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์และเพื่อการบำบัดโรค

The Terrace เป็นระเบียงชมวิว ที่มองลงมาเห็น Great Bath เป็นน้ำสีเขียว ว่ากันว่ามีแร่ธาตุมากกว่า 40 ชนิด จึงทำให้เห็นน้ำเป็นสีเขียว เค้าว่ากันว่าน้ำแร่ที่นี่สามารถรักษาโรคปวดข้อและกล้ามเนื้อได้

มองเห็นวิหารบาธอยู่ด้านหลัง

รอบๆระเบียงมีรูปปั้นนักต่อสู้ เทพยดา ประดับอย่างสวยงาม

Temple of Pediment เป็นหน้าจั่วที่หลงเหลืออยู่ ตรงกลางเป็น Gorgon ซึ่งเป็นตัวแทนของเทพ Sulis Minerva เทพธิดาแห่งน้ำ

ตู้แสดงวัสดุอุปกรณีที่ใช้ในการสร้างถนนในสมัยโน้น

 ศีรษะเคลือบทองแดงของเทพธิดาแห่งน้ำ Sulis Minerva  เขาจะมีการเส้นไหว้เทพธิดาแห่งน้ำ เพราะเชื่อว่าน้ำที่ขึ้นมาจากดินมาจากเทพเจ้า

ในส่วนนี้จะแบ่งเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องนวด ห้องสปา ห้องสตรีม (แสดงว่ามีสตรีมมากว่า 2,000 ปี )

และเขาได้แสดงแบบมัลติวิชั่นประกอบให้เห็นว่าแต่ละห้องเขาใช้ทำอะไรบ้าง

บ่อน้ำแร่ ศักดิ์สิทธิ์(Sacred Spring)

เมืองบาธมีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ(hot springs)3แห่งด้วยกัน บ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดคือที่Roman Sacred Springว่ากันว่า ตาน้ำแร่นี้จะต้องขุดลึกลงไป 3000 เมตร ก็จะเจอตาน้ำ วันๆหนึ่ง จะผลิตน้ำออกมา 1,200,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน   วัดอุณหภูมิได้ 46.5 องศาเซนเซียส

circular plunge pool  อ่างอาบน้ำ สำหรับแช่น้ำ 

Over Flow ทางระบายของน้ำ

ก่อนจะออกจากที่นี่จะเห็นท่อส่งน้ำโบราณที่ชาวโรมันส่งน้ำแร่ออกไปข้างนอก ได้เห็นถึงความสามารถของชาวโรมันโบราณว่าเขาทำได้อย่างไรนะที่ทำท่อกลมๆแบบนี้ได้

ก่อนถึงทางออกมีน้ำแร่ให้ชิมด้วย แต่ขอบอกว่าไม่อร่อยเลย รสชาดคล้ายน้ำสนิม

เราเดินชมโรงอาบน้ำ ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ออกมาเดินเล่นรอบเมืองกัน

เมืองบาธมีร้านค้ามากมายมีร้านขายไอศครีม ร้าน holland and barret  ร้าน mask and spencer เราได้เสื้อกันฝนที่ร้านนี้ ขนม และสตอเบอรี่ อร่อยมาก ลูกโต ราคาไม่แพงเลย

มีเวลาซื้อของเล็กน้อยเราก็เดินทางต่อไปยังเมือง Cardiff  เรารับประทานอาหารเย็นที่เมืองนี้ มื้อนี้เป็นอาหารจีน หลากหลายดี

คืนนี้นอนพักที่โรงแรม Radisson blu cardiff เป็นโรงแรม 4 ดาว ที่นอนนุ่มมาก

ถึงแม้โรงแรมจะอยู่กลางเมืองใกล้ที่ shopping แต่เราก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยเพราะเพลียจากการเดินทางและที่สำคัญ ร้านค้าที่นี่ปิด 19.00 น.  พักผ่อนเพื่อเอาแรงไว้เที่ยวพรุ่งนี้ดีกว่า

ต่อไป เบอร์ตัน ออนเดอะวอเตอร์-สแตนฟอร์ด อัพพอน เอวอน

1 ความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here