ก่อนหน้า  Camlica Mosque-Beylerbeyi Palace

พระราชวังโดลมาบาเช (Dolmabahçe Palace) สร้างขึ้นสมัยสุลต่านอับดุลเมจิต(สุลต่านผู้พี่ของสุลต่านอับดุลอะซิซ )ถูกสร้างขึ้นในปี ค.. 1843 แต่เดิมสุลต่านประทับที่พระราชวังท๊อปกาปิ แต่พระองค์ต้องการพระราชวังสไตล์ยุโรป และต้องการให้พระราชวังสวยงามกว่าพระราชวังแวร์ชายด์ของฝรั่งเศส โดยใช้ทองคำ 5ล้านเหรียญทองหรือประมาณ14 ตัน โดยเอาทองคำมาละลายและมาทาฝาผนัง  แต่น่าเสียดายที่การสร้างพระราชวังที่หรูหราฟุ่มเฟือยแห่งใหม่เกิดขึ้นในยุคที่จักรวรรดิออตโตมันตกต่ำทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการปกครอง ทำให้ประชาชนออกมาประท้วงจำนวนมากจนถึงการล่มสลายของจักรวรรดิในที่สุด

Dolmabahçe Clock Tower  สไตล์ Ottoman Neo-baroque มีความสูง27เมตร

ผ่านเข้ามาก็เจอกับประตูและกำแพงใหญ่มาก

เดินเข้ามาภายในก็เจอกับบ่อน้ำขนาดใหญ่สีเขียวมรกต

การเข้าชมภายในห้ามถ่ายรูป และให้ใส่รองเท้าหุ้มพลาสติกไว้ การเข้าชมอยู่ที่ว่าเขาจะเปิดให้เข้าชมห้องไหนบ้างขึ้นกับโอกาส ถ้าโอกาสพิเศษเขาอาจจะเปิดให้ดูห้องสำคัญๆก็ได้

พระราชวังสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1843 และเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1856 เวลาก่อสร้าง 13 ปีผสมผสานกันของสไตล์บาร็อค (Baroque), โรโกโก (Rococo), นีโอคลาสสิก (Neoclassical) และออตโตมันแบบดั้งเดิม ตัวอาคารทำจากหินอ่อน มีห้อง 48ห้องมีห้องอาบน้ำ 6 ห้อง ตกแต่งภายในได้รับการตกแต่งอย่างประณีต ด้วยทองคำและคริสตัล เสาคอลัมน์ (Columm) ทำจากไม้และเขียนให้เหมือนหินอ่อน ไม้ปูพื้นทั้งหมดเป็นไม้ปาเก้ เป็นไม้โอ๊คสีแตกต่างกันและ นำสีของไม้มาเรียงกันมีลวดลายต่างๆ

ห้องแต่ละห้องประดับด้วย  หินอ่อนจากอียิปต์ พรม ภาพวาดสีน้ำมัน โคมระย้าคริสตัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกขนาด 14.5 ตันแชวนตรงกลาง  มีดวงไฟ 750 ดวงประกอบชิ้นส่วน 20,000 กว่าชิ้น

ออกมาก็เจอกับประตูริมทะเล ถึงแม้เขาไม่ให้ถ่ายรูปแต่เราออกมาข้างนอกก็สามารถถ่ายรูปโคมไฟระย้าจากข้างนอกเข้าไปได้

ทางออกจากพระราชวังก็เจอกับประตูริมน้ำที่เรือแล่นผ่านเมื่อสักครู่นี้

จากนั้นพวกเราก็เดินทางไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ seven hills

อาหารมื้อกลางวันที่ seven hills เหตุที่ชื่อนี้เพราะร้านอาหารนี้สามารถเห็นวิวได้ไกลมาก เพราะเราสามารถเห็นวิว Hagia Sophia และ Blue mosque ได้ชัดเจน

Blue Mosque

ข้างบนนี้อากาศหนาวมาก เขาให้ผ้าห่มเอาไว้ห่มกันหนาวด้วย

วิวบนนี้สวยมาก

ภายในตุ้โชว์เขาจะมีให้เลือก กุ้ง หรือปลาต่างๆ แต่กลุ่มพวกเราเขาจัดอาหารมื้อหลักเป็นไก่อีกแล้ว..

วิว Hagia Sophia จากseven hill

ฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia) โบสถ์ทรงโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างโดยกษัตริย์จัสติเนียนในปี 537 มีอายุเก่าแก่กว่า 1,500 ปี ใช้เวลาสร้างเพียง6 ปีโดยใช้แรงงานทาสเป็นหมื่นๆคน  ศิลปะยุคไบแซนไทน์  (Byzantine)เดิมเป็นโบสถ์คริสต์แต่หลังจากพวกออตโตมันยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้จึงเปลี่ยนโบสถ์คริสต์ให้เป็นมัสยิดอิสลาม มีการใช้ปูนฉาบปิดทับภาพโมเสกของศาสนาคริสต์ และประดับด้วยสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามแทน มัสยิดแห่งจึงนี้เป็นการผสมผสานระหว่างคริสต์กับมุสลิมโดยเป็นโบสถ์คริสต์มา 900ปีและมุสลิมอีก เกือบ500 ปี พอถึงสมัยมุสทาฟา เคมัล อาทาทืร์ค ก็เปลี่ยนมัสยิดแห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์

โบสถ์แห่งนี้ยังได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ในปี ค.ศ. 1985 และยังได้รับคัดเลือกให้เข้ารอบสุดท้าย 1 ใน 21 สิ่งมหัศจรรย์ในยุคใหม่เมื่อปี ค.ศ. 2007 อีกด้วย

โบสถ์อยู่ในระหว่างการปรับปรุง แต่ก็สามารถเข้าชมได้

ภายในเซนต์โซเฟียมีห้องโถงที่ใหญ่มีเนื้อที่ถึง 7,500 ตารางเมตร และมีงานยังมีภาพศิลปะไบเซนไทน์ทียังปิดปูนทับไม่หมดให้เห็นอยู่ เป็นภาพโมเสสของพระเยซู, พระแม่มารี, นักบุญคริสเตียน และทูตสวรรค์

บริเวณประตูทางเข้า มีภาพโมเสสอยู่บนประตู ซึ่งมีการใช้ทอง, เงิน, แก้ว และหินหลากสี เพื่อทำให้ภาพงดงาม

ภายในมีสองชั้น ชั้นบนแสดงภาพกระเบื้องโมเสกที่ปูนทับไม่หมดจัดแสดงอยู่

โดมขนาดใหญ่ตรงกลางอยู่สูงจากพื้น 55 เมตร ตั้งอยู่บนเสาขนาดใหญ่ 4 ต้น และเป็นต้นแบบของการสร้างโดมในสมัยต่อ ๆมา

โบสถ์ฮาเกียโซเฟียซึ่งสร้างขึ้นในยุคที่ยังไม่มีเหล็กกล้า คือการใช้เสากลมและกำแพงเป็นสิ่งที่ช่วยค้ำยันหลังคาและโดมขนาดใหญ่เอาไว้

แผ่นป้ายตัวอักษขนาดใหญ่ 8 แผ่น ทำด้วยไม้ เขียนพระนามของพระอัลลาห์ พระมูฮัมหมัด และบุคคลสำคัญอื่น ๆ ในศาสนาอิสลามด้วยภาษาอาหรับ

สิ่งที่ไม่พลาดคือต้องมาหมุนนิ้วที่เสานี้ ว่ากันว่าเสามีรูต้นนี้สามารถรักษาโรคไมเกรนได้ และขอพรได้โดยสอดนิ้วโป้งเข้าไปในรู แล้วหมุนมือให้ครบรอบ 360 องศา และอธิฐานก็จะสมหวัง

เราขึ้นมาบริเวณชั้นสอง เพื่อชมภาพโบราณศิลปะไบเซนไทน์ที่ยังสมบูรณ์อยู่

ภาพของพระเยซู พระหัตถ์ขวาประทานพระพร พระหัตถ์ซ้ายถือคัมภีร์ไบเบิล ขนาบข้างด้วยจักรพรรดคอนสแตนตินที่ 9 และจักรพรรดินีโซซึ่งปกครองจักรวรรดิไบแซนไทน์ในคริสตวรรษที่ 11 จักรพรรดิถือถุงเงินเป็นเครื่องหมายของการบริจาคให้แก่โบสถ์ ส่วนจักรพรรดินีถือม้วนหนังสือ

อีกรูปเป็นภาพจักรพรรดิจอห์นที่ 2 พร้อมจักรพรรดินีไอรีน ถวายเงินให้พระแม่มารีที่กำลังอุ้มพระกุมารเยซูบนตัก

ภาพนี้ถูกทำลายให้เสียหาย แต่ก็ยังแสดงให้เห็นบางส่วน

ภาพแสดงถึงพระเยซูในวันพิพากษาโลก ขนาบด้วยพระแม่มารีกับเซนต์จอห์นแบปทิสต์ที่กำลังวิงวอนขอพระเมตตาให้แก่ชาวโลก

มีการจำลองรูปจริงให้ดูเป็นตัวอย่าง เพื่อให้เห็นรูปทั้งหมด

จากข้างบนมองลงมา

บริเวณประตูทางออกมีอีกรูปที่สมบูรณ์มาก

รูปพระแม่มารีกำลังอุ้มพระกุมารเยซูบนตัก ฝั่งขวาของภาพเป็นจักรพรรดิคอนสแตนติน (ผู้สร้างกรุงคอนสแตนติโนเปิล) กำลังถวายแบบจำลองของเมือง ฝั่งซ้ายของภาพเป็นจักรพรรดิจัสติเนียน (ผู้สร้างโบสถ์ฮาเกียโซเฟีย) กำลังถวายแบบจำลองของโบสถ์

ได้เวลาพอสมควรพวกเราก็เดินไปยัง Yerebatan Saray

Yerebatan Saray อ่างเก็บน้ำใต้ดินขนาดใหญ่แบบไบแซนไทน์ เรียกว่า Basilica Cistern อ่างเก็บน้ำใต้ดินนี้สร้างในปี 532 อายุเกือบ 1500 ปี สร้างขึ้นสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน สร้างขึ้นมาเพื่อทําการเก็บนํ้าที่ไหลมาจากป่าเบลเกรดโดยมีท่อนํ้าลําเลียงซึ่งเรียกว่า “ Aqueduct ” พื่อช่วยเก็บกักน้ำไว้ใช้ในยามหน้าแล้งสำหรับวิหารเซ็นต์โซเฟีย โดยลำเลียงน้ำมาจากทะเลดำผ่านท่อส่งน้ำแบบโรมัน อุโมงค์มีมีความยาว 141 เมตร กว้าง 73 เมตรจุนํ้าได้มากถึง 80,000 ลูกบาศก์เมตร เพึ่งค้นพบในศตวรรษที่ 19

ภายในมีเสาทั้งหมด 336 ต้น แต่ละต้นสูง 9 เมตร มีด้วยกัน 12 แถว แถวละ 28 ต้นความห่างของแต่ละต้น คือ 4.9 เมตร ภายในมีเสาเด่นๆ ได้แก่เสาหยดน้ำตาและเสาเมดูซ่า ซึ่งต้องเดินไปชมด้าน

เสาหยดนํ้าตา (The Column of Tears) ซึ่งเป็นเสาที่มีลายแกะสลักเป็นรูปหยดนํ้าตา

ด้านในสุดจะมีเสาศีรษะเมดูซ่า (Medusa) สองเสาซึ่งมีฐานเป็นหัวนางเมดูซา (Medusa) เสาหนึ่งวางหัวตะแคง อีกเสาวางตีลังกากลับหัว จนถึงปัจจุบันยังไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรจึงนำหัวนางเมดูซาเป็นฐานของสองเสานี้ คาดเดากันว่าได้มีการขนเสาจากสถานที่ต่างๆมา โดยเฉพาะเสาจากวิหารเทพีอาร์เทมิส ซึ่งเป็น1ใน7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางมาด้วย โดยเสาสวยๆมาสร้างเซนต์โซเฟียและที่ไม่สวยก็นำมาที่นี่ และก็เลยมีเสาเมดูซ่าติดมาที่นี่ด้วย

นางเมดูซาเป็นตัวละครในตำนานของพวกกรีกโรมัน เมดูซ่าเป็นนางปีศาจที่อาศัยอยู่ใต้ดิน เส้นผมของเมดูซ่าเป็นงูตามตํานานหากใครมองเห็นใบหน้าเธอก็จะกลายเป็นหินในทันที แม้แต่ตัวเธอเอง หากมองเห็นตัวเองก็จะกลายร่างเป็นหินเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นการแก้เคล็ดจึงตั้งศีรษะกลับหัวหรือตะแคง สัญนิฐานว่าการตั้งรูปแกะสลักดังกล่าวเป็นการตั้งไว้ เพราะกลัวว่าคนที่จ้องไปที่รูปปั้นหัวของนางตรง ๆ จะกลายเป็นหินก็เป็นได้

จุดหมายต่อไปเราก็เดินทางไป shoping กันก่อนจะกลับเมืองไทย

พวกเราแทบไม่ได้ซื้ออะไรเลยเพราะไกด์แนะนำให้มาซื้อของที่ spice  market เพราะราคาถูกและดี

เรามาถึง Spice Market ตั้งอยู่ใกล้มัสยิดใหม่ (New Mosque)

ที่ตลาดนี้มีของขายของฝากหลายอย่าง ให้พวกเราได้ shopping ก่อนกลับ

การชมตลาดจะมีทั้งภายในอุโมงและภายนอกอุโมง ซึ่งจะขายของคล้ายๆกัน เช่น  เตอร์กีสดีไลท์ ผลไม้อบแห้ง  เครื่องเทศ ถั่วต่างๆ นอกจากนี้ยังมีของที่ระลึก เครื่องแก้ว เครื่องลายคราม ผ้าพันคอ พวงกุญแจ แก้วกาแฟตุรกี โคมไฟสวยงามและอื่นๆอีกมาก

เราเข้าไปชมร้านภายในอุโมงก่อน

Hazer Baba ร้านดังของที่นี่มีหลายสาขา ของเด่นที่ร้านนี้คือเตอร์กีสดีไลท์

เตอร์กิชดีไลท์ (Turkish Delight) ทำจากแป้งข้าวโพดสอดใส่ถั่วพิชตาชิโอและอัลมอนด์ คลุกน้ำตาลด้านนอก ทำเป็นก้อนสี่เหลี่ยมแบนๆ  มีหลายกลิ่น เช่นกลิ่น ส้ม มะนาว กุหลาบ  ทับทิม ผลไม้รวม รสชาและกาแฟ พร้อมบรรจุกล่องสวยงาม

เครื่องเทศต่างๆ

ถั่วชนิดต่างๆเช่น พิคาชิโอ อัลมอนด์ ราคาไม่แพง ที่สำคัญชิมได้ด้วย ทุกร้านให้ชิมจนพอใจ

ชากลิ่นต่างๆเช่น คาโมมาย, มะลิ ,ชามะนาว, แบล็คเบอรี่, ชาแอปเปิ้ลและอีกหลากหลาย

ขนมหลากหลาย

และหลังอุโมงมีร้านขายส่งของที่ระลึกโดยเฉพาะพวงกุญแจ evil eye กำไลข้อมือ กระเป๋าที่ระลึก ราคาถูกมากๆ

รอบๆอุโมงมีร้านขายถั่วต่างๆ เยอะแยะไปหมด

จากนั้นพวกเราก็ไป shopping ย่าน Taksim Square  คล้ายๆกับสยามสแคว์บ้านเราย่านนี้มีร้านค้าหลากหลายเช่น ร้านขายเสื้อผ้า ร้านเครื่องสำอาง ร้านแลกเงิน ร้านอาหาร ร้านกาแฟสตาร์บัค pizza hut, mc donald’s, subway, burger king และร้านอาหารหลากหลาย

เดินผ่านอนุเสาวรีย์ที่มักจะใช้เป็นจุดนัดพบ

ที่นี่คนเยอะมาก เดินไปไหนก็จะมีแต่ผู้คนแน่นไปหมด เราได้แก้วน้ำสตาร์บัคเพราะราคาถูกกว่าที่ไทยพอสมควร และรับประทานอาหารเย็นมื้อสุดท้ายของตุรกีก่อนเดินทางกลับ

พวกเราเดินเล่นจนถึง 22.00 น.ก็เดินทางไปยังสนามบินอิสตันบูล เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here