เรามาเที่ยวตุรกีช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งใครๆก็บอกว่าเป็นช่วงที่น่าเที่ยว แต่กว่าทัวร์จะออกได้ต้องลุ้นแทบแย่ เพราะต้องการคนเที่ยวแค่ 15 คน แต่ยังหาไม่ได้ เราก็เลยไปอีกโปรแกรม ด้วยความที่อยากไปเที่ยวช่วงนี้ เราก็เลยเลือกโปรแกรมที่บริษัททัวร์เสนอมา ซึ่งมันดีงามมากเลย

การเตรียมตัวเที่ยว

1.ตุรกีไม่ต้องทำ visa ถ้าอยู่ไม่เกิน 30 วัน

2. การเตรียมเสื้อผ้า เราต้องดูอุณหภูมิด้วยว่าจะเอาเสื้อผ้าแบบบางหรือหนาดี

ประเทศตุรกีมี 4 ฤดูกาล ได้แก่

ฤดูใบไม้ผลิ (เมษายนพฤษภาคม)

– ฤดูร้อน (มิถุนายนกันยายน)

– ฤดูใบไม้ร่วง (ตุลาคมพฤศจิกายน)

– ฤดูหนาว (ธันวาคมมีนาคม)

ช่วงที่เราไปอากาศไม่แน่นอน เขาพยากรณ์ว่าอุณหภูมิตั้งแต่ 6-22 องศา เรายิ่งขี้หนาวอยู่จึงจัดเต็ม

3.ตุรกีใช้เงินลีรา ( Lire )ในร้านค้าทั่วไป และในร้านใหญ่ๆสามารถใช้เงินดอลล่าและยูโรได้

อัตราแลกเปลี่ยน1ลีรา เท่ากับ 5.7 บาท โดยเราแลกเงินจากปประเทศไทยไปพอสมควร แต่ถ้าอยากได้เรทดีๆสามารถแลกที่ตุรกีได้ที่สนามบินหรืออิสตันบลู

4.กระแสไฟ ตุรกีใช้กระแสไฟ 220-240 โวลต์ และต้องเป็นปลั๊กกลม 2 ขา

5. อาหาร ประชาชนส่วนใหญ่นับถืออิสลามจึงไม่รับประทานเนื้อหมู จึงมีแต่เนื้อไก่และเนื้อวัว ถ้าไม่ทานเนื้อวัว จึงเหลือแต่ไก่ ดังนั้นควรเตรียมอาหารอย่างอื่นไปด้วย  ไม่เช่นนั้นคงเบื่อแย่ ถึงแม้จะไปกับทัวร์ที่เขาเตรียมน้ำพริก และอื่นๆมาให้ แต่ก็ทำให้เราเบื่อกับการกินไก่ไปนาน

และก็ถึงวันเดินทางทัวร์นัดก่อนเวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง เราไม่รู้จะทำอะไรจึงไปรับปประทานอาหารที่ มิราเคิลเลาน์ ก่อน

ห้องอาหารที่นี่อาหารหลากหลาย มีมุมสลัด ข้าวแกงเผ็ดไก่ ผัดมักกะโรนีขี้เมา ซุป ผลไม้ แซนวิส ขนมต่างๆ ชากาแฟ น้ำอัดลม และเหล้าด้วย

เรานั่งรอขึ้นเครื่องบินเกือบ2 ชั่วโมงและทานอาหารจนอิ่ม จึงเดินไปยังgate

เดินทางโดยสายการบินเตอร์กิชแอร์ไลน์เที่ยวบิน TK 69 ใช้เวลาในการเดินทาง10.20 ชั่วโมง บนเครื่องมีแจก gift set ด้วย มีกระเป๋าสีสันสวยงาม ที่ปิดตา ที่อุดหู ถุงเท้า แปรงและยาสีฟัน รวมทั้งลิปมันด้วย แต่ไม่ได้ใช้ เก็บไว้เป็นที่ระลึก

อาหารบนเครื่อง แต่เราไม่ได้รับประทานเพราะอิ่มมาตั้งแต่เลาน์แล้ว

จากนั้นเราก็นอนยาวเลยจนไม่ได้ทานอาหารเช้าบนเครื่อง

พอถึงอิสตันบลู เราก็เดินทางต่อไปยังเมืองอิซเมียร์ โดยเที่ยวบิน TK 2312 ใช้เวลาเดินทาง1.20 ชั่วโมง

ตุรกี (Turkey) เป็นประเทศนี้มีประวัติศาสตร์และอารยธรรมที่เก่าแก่มานานกว่า 2,500 ปีก่อนคริสตกาล ภูมิประเทศเชื่อมต่อ 2 ทวีปทั้งฝั่งเอเชีย และฝั่งยุโรป ประเทศนี้ถูกล้อมรอบด้วยทะเลสามด้านด้วยกัน ได้แก่ ทางเหนือสุดจะติดกับทะเลดำ และทางใต้จะติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางตะวันตกก็จะติดกับทะเลอีเจียน

โปรแกรมเที่ยวของเราเป็นทัวร์ตุรกีตะวันตก ตามเส้นที่วาดไว้ในแผนที่คะ

เส้นประสีน้ำเงินเดินทางโดยเครื่องบิน สีแดง เดินทางโดยรถบัส

เรามาถึงสนามบินเมืองอิซเมียร์จากนั้นรถบัสคันใหญ่ก็มารับเราไปเที่ยวต่อยังบ้านพระแม่มารี ณ เมืองเอเฟซุส (house of virgin mary ) ซึ่งห่างจากเมืองอิซเมียร์ประมาณ 70 กิโลเมตร

ผ่านเมืองโบราณเอเฟซุส(City of Ephesus) ก่อน เดี๋ยวช่วงบ่ายเราค่อยมาเที่ยวที่นี่กัน

จากนั้นรถพาเราขึ้นไปบนเขา

บ้านพระแม่มารี House of Virgin Mary เชื่อกันว่าเป็นที่สุดท้ายที่พระแม่มารีอาศัยอยู่และสิ้นพระชนม์ในบ้านหลังนี้ ถูกค้นพบอย่างปาฏิหารย์โดยแม่ชีตาบอดชาวเยอรมัน ชื่อ แอนนา แคเทอรีน เอมเมอริช (Anna Catherine Emmerich) เมื่อปี ค.. 1774-1824 ได้เขียนบรรยายสถานที่นี้ไว้ ในหนังสืออย่างละเอียดราวกับเห็นด้วยตาตนเอง เมื่อเธอเสียชีวีตลงมีคนพยายามสืบเสาะค้นหาบ้านหลังนี้จน พบในปี ค.. 1891 ปัจจุบันบ้านพระแม่มารีได้รับการบูรณะเป็นบ้านอิฐ ชั้นเดียว

มีการขุดบ่อน้ำที่มีลักษณะคล้ายลูกกุญแจ และมีความเชื่อที่ว่าใครมาดื่มน้ำที่นี่ก็จะเหมือนกับมีกุญแจเข้าสู่ประตูสวรรค์ แต่ปัจจุบันไม่ใช้บ่อนี้แล้ว มีการใช้จากก็อกแทน

ภายในมีรูปปูนปั้นของพระแมม่ารีแบมือทั้ง2 ข้าง ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างทางเดินไปยังบ้าน ตามประวัติศาสตร์ท่านมีอายุยืนยาวถึง 150 ปี

บ้านพระแม่มารีเป็นบ้านอิฐชั้นเดียว พวกเราเดินเข้าไปภายในไม่กว้างเท่าไหร่ ภายในมีลายเซ็นต์ของสันตปาปาโป๊ปเบเนดิกส์ที่ 6 ที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้ ไปได้สักพักก็ถึงทางออก

บริเวณนี้มีก๊อกน้ำ 3 ก๊อกเชื่อว่าเป็นก๊อกน้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์แทนความเชื่อในเรื่องสุขภาพ ความร่ำรวยและความรัก

ใกล้ๆกันเป็นกำแพงอธิฐาน ซึ่งมีความเชื่อว่าให้เขียนสิ่งที่ปรารถนาลงในกระดาษหรือผ้านำไปผูกและอธิฐานจะทำให้สมหวัง

เดินมาสักพักก็เห็นๆที่ๆเขาจุดเทียนอธิฐานกัน

ก่อนจะถึงทางออกก็เจอกับรูปปูนปั้นนี้

จากนั้นพวกเราก็ลงจากเขาไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารพื้นเมืองแบบบุฟเฟ่

เป็นมื้อแรกที่ตุรกี อร่อยมากเลย และเขามีน้ำทับทิมขายแก้วละ 5 ลีรา เท่ากับ30บาท อร่อยมาก

หลังจากรับประทานอาหารแล้ว พวกเราก็ไปเที่ยวเมืองโบราณ Ephesus ที่อยู่ไม่ไกลันัก

เอเฟซุส (City of Ephesus) เป็นเมืองโบราณสมัยกรีกและโรมัน ซึ่งเคยรุ่งเรืองและใหญ่เป็นอับดับสองของจักรวรรดิโรมันรองจากเมืองหลวงคือโรม อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเอเฟซุสถือกำเนิดขึ้นในสมัยใดมีตำนานเล่าขานมาว่า นักรบหญิงเผ่าอะเมซอนสร้างเมืองในช่วงศตวรรษที่ 14 ก่อนคริสตกาล และอีกตำนานกล่าวว่า ชายหนุ่มชื่อว่า อันโดรคลุส (Androclus) ลูกชายของโคดรุส (Codrus) แห่งเอเธนส์เป็นผู้สร้างเมือง โดยต้องการอพยพมายังดินแดนอนาโตเลีย จึงนำความไปปรึกษาคนทรงเทพเจ้าอะพอลโล ซึ่งทำนายว่า หมูป่าและปลาจะบอกสถานที่นั้นให้แก่อันโดรคลุส จึงพาทหารของเขาออกเดินทาง ขณะจุดไฟย่างปลาก็มีหมูป่าตัวหนึ่งโผล่จากพุ่มไม้ เมื่อเห็นดังนั้น ก็นึกถึงคำทำนาย และควบม้าตามไป แล้วสังหารหมูป่านั้นเสีย สถานที่นั้นได้กลายเป็นเมืองเอเฟซุส ซึ่งตำนานนี้มีสลักไว้ที่วิหารฮาเดรียน (Harian Tapinagi หรือ Temple of Hadrian)

เมืองนี้สันนิษฐานว่ามีอายุมากกว่า 2500 ปี เมืองนี้เคยเป็นเมืองท่าที่เจริญสูงสุดและบางส่วนได้ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหว จากนั้นก็เสื่อมถอยตามกาลเวลา และได้รับการบูรณะโดยการขุดขึ้นมาและจัดเรียงใหม่ โดยมีสภาพสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก(เทียบกับเมืองอื่นๆในยุคเดียวกัน) ทำให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาชมเป็นจำนวนมากและ ค.. 2015 องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนให้เอเฟซุสเป็นมรดกโลก

เดินเข้ามาก็ดูแผงผังเมืองจำลองกันก่อน จะแบ่งเป็น 2 โซนตลาดด้านบนและด้านล่าง  มีถนนหินอ่อน โรงอาบน้ำโรมัน  โรงนวด ยิมเนเซียม วิหารกษัตริย์ฮาเดรียม บ้านคนร่ำรวย ห้องสมุด โรงละคร หอประชุมและอื่นๆ

โดยจะมีประตูเข้าออก 2 ทางเป็นทางเข้าทางด้านบกและทางเข้าด้านล่างเป็นทางด้านทะเล แต่ปัจจุบันทางเข้าทางด้านทะเลห่างออกไป 3 ไมล์ เพราะความตื้นเขินของแม่น้ำทำให้แผ่นดินขยายตัวออกไปในทะเล

ถนนที่เราเดินระยะทางทั้งสิ้น 1.3 กิโลเมตร พวกเราเดินเข้ามาทางทางเข้าที่ 2  และเดินเที่ยวเล่นไปเรื่อยใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง

Varius Bath of Ephesus สร้างขึ้นในศตวรรษที่

สร้างจากหินอ่อนและประกอบด้วยโครงสร้างสามส่วนเป็นห้องๆ ห้องทั้งสามประกอบด้วย ห้องน้ำเย็น ห้องน้ำอุ่น และห้องน้ำร้อน

ท่อน้ำโบราณ

พวกเราไปชมเป็นโรงละครขนาดเล็ก Odeon บรรจุคนได้ประมาณ 1400 คน ใช้สำหรับเป็นที่ประชุมสภาประจำเมืองและจัดแสดงคอนเสิร์ต

ระหว่างชั้นที่นั่งมีหินแกะสลักเป็นรูปอุ้งเท้าสิงโต

พอออกมาก็พบกับรูปรูปสลักไนกี้ เทพธิดาแห่งชัยชนะ

The monument of Memmius

อีกด้านหนึ่ง

เราเดินกลางแจ้งผ่านซากปรักหักพัง…แดดร้อนมากเลย

บรรยากาศแบบนี้ตลอดทาง ถึงแม้จะร้อนแต่เราก็สนุกกับการได้ชมความอลังการของซากปรักหักพังนี้

Trajan’s Fountain น้ำพุของจักรพรรดิทราจัน สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่จักรพรรดิทราจัน ซึ่งเป็นจักรพรรดิโรมันในยุคที่อาณาจักรรุ่งเรืองสงบสุข

บริเวณนี้เป็นบ้านของคนมีฐานะ เพราะดูจากพื้นปูด้วยโมเสสสวยงาม

เดินขึ้นไปชั้นบนจะเห็นหอสมุดเซลซุสแต่ไกล..มุมนี้ถ่ายรูปออกมาจะเห็นหอสมุดทั้งหมด

ตุรกีนี่เป็นเมืองแมวจริงๆ มีแมวเต็มไปหมด

ห้องน้ำของชาวโรมันจะนั่งเรียงๆกันและไม่มีการปกปิดอะไรเลย ข้างบนทำด้วยหินอ่อนส่วนด้านล่างจะขุดหลุมไว้ลึกมาก คงกลัวว่ากลิ่นจะฟุ้งออกมา ไกด์บอกว่าถ้าเป็นหน้าหนาว ที่นั่งนี่จะหนาวมากจะให้ทาสมานั่งก่อนเพื่อให้มันอุ่นขึ้น จากนั้นเจ้านายค่อยนั่งตาม

นอกจากนี้ชาวเอเฟซุส ยังใช้ห้องน้ำเป็นแหล่งพูดคุยพบปะกันอีกด้วย

จากนั้นเดินไปยังหอสมุดเซลซุส (Library of Celsus) สร้างโดยติเบริอุส จูลิอุส อาควิลา อุทิศให้กับบิดา ชื่อ ติเบริอุส จูลิอุส เซลซุส ในปี 657-660 และได้ฝังโลงศพของบิดาที่ทำจากหินเอาไว้ใต้หอสมุดแห่งนี้

ห้องสมุด celcusใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก อันดับ 1 อยู่ที่อเล็กซานเดรียน ประเทศอียิปต์ ส่วนอันดับ 2 ก็อยู่ในประเทศตุรกี ที่เมืองเพอร์กามัม  เมืองทางเหนือของอิสเมียร์ แต่ไม่มีอะไรเหลือแล้ว นอกจากเสาหินสองต้นสุดท้าย และที่นี่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 และมีม้วนกระดาษเก็บไว้ถึง 20,000 ม้วน ต่อมาหอสมุด Celsus ที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ได้ถูกชาวกอท (Goth) ซึ่งเป็นชนเผ่าเจอร์มานิคตะวันออกเผาทำลาย เอกสารต่างๆ และตัวอาคารได้จึงรับความเสียหาย ปัจจุบันเหลือให้เห็นเฉพาะส่วนที่เป็นด้านหน้าของตัวอาคาร

ด้านหน้ามีรูปปั้นของเทพี 4 องค์ด้วยกัน ได้แก่ Ennoia (thought – ความคิด),Sophia (wisdom – ปัญญา), Episteme (knowledge),Arete (virtue – ความดี)

เขาบอกว่าเทพทั้ง4 อาจจะไม่ใช่ของจริงเพราะของจริงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ออสเตรีย

ตรงข้ามกับห้องสมุดเป็นหอนางโลม ว่ากันว่าจากห้องสมุดจะมีท่อลอดไปสู่หอนางโลมได้ เผื่อผู้ชายจะได้หนีเมียเที่ยว

เราเดินไปเรื่อยๆก็เห็นกับรอยเท้านี้เข้า ไกด์บอกว่าเป็นการวัดรอยเท้าเข้าหอนางโลมในสมัยนั้น ถ้ารอยเท้าเล็กกว่านี้เข้าไม่ได้เพราะถือว่าเป็นเด็กอยู่

เราสนุกกับการถ่ายรูปอยู่นาน จากนั้นเราก็เดินต่อไป ผ่านเสาโบราณมากมาย

หินสลักรูปปลา

หินสลักรูปคล้ายคบเพลิง

เราเดินมาถึงปลายสุดของถนน theater โรงละครเอเฟซุส โรงละครกลางแจ้งที่ใหญ่เป็นอันดับ3 ของโรงละครโบราณในตุรกีและจุคนได้มากกว่า25,000คน โดยคิด 10%ของจำนวนประชากร ซึ่งในสมัยนั้นมีประชากร 250,000 คน

ปัจจุบันยังใช้เป็นที่จัดการแสดงและคอนเสริต์ใหญ่ๆอยู่

โรงละครถูกออกแบบมาให้คนที่ยืนอยู่ตรงกลางพูดแล้วคนทั้งโรงได้ยินไม่ว่าจะนั่งอยู่ตรงไหนของอัฒจันทร์

เดินออกมาก็เจอกับแมวอีก

เดินออกมาก็เจอกับร้านขายของที่ระลึก มากมาย

ร้านขายโคมไฟสวยงาม

พวกเราเดินทางต่อไปพักค้างคืนที่เมืองคูซาดาซึ ห่างจากเอเฟซุสประมาณ 82  กิโลเมตร ใช้เวลา  1 ชั่วโมง

เมืองนี้เป็นเมืองท่าเรือจะมีเรือสำราญมาจอดเทียบท่า และเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่มีนักท่องเที่ยวมักจะมาเดินเที่ยวเล่น ทั้งกลางวันและค่ำคืน ร้านค้าที่เมืองนี้ปิด 22.00 น.

เราเข้าพักที่ Ramada Suit Hotel เป็นโรงแรม 5 ดาว เดี่๋ยวทานอาหารเย็นแล้วเราจะไปเดินเที่ยวเล่นกัน

อาหารเย็นที่นี่เป็นบุฟเฟ่ มีหลากหลายชนิด โดยเฉพาะสลัด ผักหลากหลายและสดมาก ที่ตุรกีนับถืออิสลามจึงไม่มีเนื้อหมู จะใช้ไก่ประกอบอาหารเป็นส่วนใหญ่

หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วไกด์ก็พาพวกเราไปนั่งรถเมล์ไปในเมืองเล่นกัน ค่าโดยสารเที่ยวละ 4 ลีราต่อคน รถเมล์ผ่านและแวะจอดรับส่งหน้าโรงแรม

เมืองนี้กลางคืนครึกครื้นมาก มีร้านค้ามากมาย

ทั้งร้านเสื้อผ้า เครื่องสำอาง อาหาร ขนม และของที่ระลึก

บาร์เบียร์

ร้านขายไอศครีมตุรกี

จากนั้นเราก็เดินไปเล่นริมทะเล

ทะเลที่นี่มีแต่หินได้แต่ชมวิวทะเล

เราเดินเล่นประมาณ 1.30 ชม. ก็กลับโรงแรม

ตอนต่อไป ปามุคคาเล่

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here