บทความล่าสุด

เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Istanbul

 ก่อนหน้า  Camlica Mosque-Beylerbeyi Palace พระราชวังโดลมาบาเช (Dolmabahçe Palace) สร้างขึ้นสมัยสุลต่านอับดุลเมจิต(สุลต่านผู้พี่ของสุลต่านอับดุลอะซิซ )ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1843 แต่เดิมสุลต่านประทับที่พระราชวังท๊อปกาปิ แต่พระองค์ต้องการพระราชวังสไตล์ยุโรป และต้องการให้พระราชวังสวยงามกว่าพระราชวังแวร์ชายด์ของฝรั่งเศส โดยใช้ทองคำ 5ล้านเหรียญทองหรือประมาณ14 ตัน โดยเอาทองคำมาละลายและมาทาฝาผนัง  แต่น่าเสียดายที่การสร้างพระราชวังที่หรูหราฟุ่มเฟือยแห่งใหม่เกิดขึ้นในยุคที่จักรวรรดิออตโตมันตกต่ำทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการปกครอง ทำให้ประชาชนออกมาประท้วงจำนวนมากจนถึงการล่มสลายของจักรวรรดิในที่สุด Dolmabahçe Clock Tower  สไตล์ Ottoman Neo-baroque มีความสูง27เมตร ผ่านเข้ามาก็เจอกับประตูและกำแพงใหญ่มาก เดินเข้ามาภายในก็เจอกับบ่อน้ำขนาดใหญ่สีเขียวมรกต การเข้าชมภายในห้ามถ่ายรูป และให้ใส่รองเท้าหุ้มพลาสติกไว้ การเข้าชมอยู่ที่ว่าเขาจะเปิดให้เข้าชมห้องไหนบ้างขึ้นกับโอกาส ถ้าโอกาสพิเศษเขาอาจจะเปิดให้ดูห้องสำคัญๆก็ได้ พระราชวังสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1843 และเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1856 เวลาก่อสร้าง 13 ปีผสมผสานกันของสไตล์บาร็อค (Baroque), โรโกโก (Rococo), นีโอคลาสสิก (Neoclassical) และออตโตมันแบบดั้งเดิม ตัวอาคารทำจากหินอ่อน มีห้อง 48ห้องมีห้องอาบน้ำ 6 ห้อง ตกแต่งภายในได้รับการตกแต่งอย่างประณีต ด้วยทองคำและคริสตัล เสาคอลัมน์ (Columm) ทำจากไม้และเขียนให้เหมือนหินอ่อน ไม้ปูพื้นทั้งหมดเป็นไม้ปาเก้ เป็นไม้โอ๊คสีแตกต่างกันและ นำสีของไม้มาเรียงกันมีลวดลายต่างๆ ห้องแต่ละห้องประดับด้วย  หินอ่อนจากอียิปต์ พรม ภาพวาดสีน้ำมัน โคมระย้าคริสตัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกขนาด 14.5...

เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Camlica Mosque-Beylerbeyi Palace

ก่อนหน้า Topkapi Palace เช้านี้เราไปเที่ยวมัสยิดชามลีกา (Camlica Mosque) อยู่ฝั่งเอเซีย พวกเราใช้เวลาเดินทางจากโรงแรม Hillton Piyalepasa Hotel ไปมัสยิดแห่งนี้ 1 ชั่วโมง มัสยิดชามลีกาตั้งอยู่บนเนินเขา Kamlyka เป็นมัสยิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตุรกี มีเนื้อที่ 57,500 ตารางเมตร เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2013 เปิดให้ปฏิบัติศาสนกิจครั้งแรกเมื่อวันที่  7 มีนาคม 2019 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 66.60 ล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐ มัสยิดแห่งนี้ได้ถูกบันทึกให้เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตุรกี หอคอยที่มีความสูงตระหง่านจำนวน 6 หอคอย โดยการอ้างจากศรัทธาของศาสนาอิสลามที่มีอยู่ 6 ประการด้วยกัน โดยหอคอยทั้ง 4 มีความสูง 107.10 เมตร ได้สื่อถึงชัยชนะของชาวเติร์กที่ชนะไบเซนไทล์ ในการทำสงคราม Malazgirt ปีค.ศ. 1071  ส่วนโดมหลักจะมีความสูง 72 เมตร สร้างโดยมีการอ้างอิงจาก 72 เชื้อชาติที่พักอาศัยในอิสตันบูล ส่วนโดมขนาดเล็กมีความสูง 34 เมตร ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของกรุงอิสตันบูลก็จะสามารถเห็นหออะซานของที่นี่ได้เด่นชัดและสวยงาม มัสยิดสามารถรองรับผู้ปฎิบัติศาสนกิจได้มากถึง 63,000 คนโดยใช้สถาปัตยกรรมตามแบบฉบับออตโตมันและเซลจุก รวมถึงศิลปะในปัจจุบันผสมผสานกันได้อย่างลงตัวที่สุด การเข้าชมมัสยิดทุกที่จะต้องแต่งกายสุภาพ ไม่ใส่รองเท้าเข้าไปข้างใน ไม่ส่งเสียงดัง ผู้หญิงจะต้องสวมกระโปรงยาวคลุมเข่า และโพกผ้าคลุมศีรษะ ภายในตัวมัสยิดจะมีการนำหลักคำสอนในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านนำมาเขียนไว้...

เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Topkapi Palace

ก่อนหน้า Hippodrome,Blue Mosque พระราชวังโทพคาปิ (Topkapi Palace) เป็นวังหลวงในสมัยอาณาจักรออตโตมัน สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1459 ในสมัยของสุลต่านเมห์เหมดที่ 2 (Sultan Mehmed II) แห่งจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งสามารถเข้ายึดครองกรุงสแตนติโนเปิลได้ องค์สุลต่านเมห์เหมดที่ 2 ทรงมองเห็นว่าพระราชวังแห่งคอนสแตนติโนเปิล (Great Palace of Constantinople) ซึ่งเป็นพระราชวังหลักในเวลานั้นอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรม จึงทรงโปรดให้สร้างพระราชวังแห่งใหม่ขึ้นที่บริเวณแหลม Seraglio (Sarayburnu) ซึ่งเป็นชัยภูมิที่ดีสามารถมองเห็นช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus Strait) บรรจบกับทะเลมาร์มะรา (Marmara Sea) ได้ชัดเจน ปัจจุบัน พระราชวังแห่งนี้เป็นที่จัดแสดง สมบัติของสุลต่านในสมัยต่างๆ ในยุคสมัยอ๊อตโตมัน โดยแบ่งออกเป็น  3 ส่วนคือ 1.พระราชวังชั้นนอก 2.พระราชวังชั้นใน 3.ฮาเล็ม ในสมัยก่อนพระราชวังแห่งนี้มีข้าราชบริพารจำนวน5,000 คน จึงมีสภาพคล้ายตัวเมืองซับซ้อนตัวเมืองอีกที สุลต่านทุกพระองค์ทรงประทับที่พระราชวังนี้เกือบ 400 ปี พระราชวังได้รับการตกแต่งอย่างดีในยุคที่ออตโตมันรุ่งเรืองถึงขีดสุด ต่อมาสุลต่านทรงชอบการตกแต่งแบบยุโรปจึงย้ายพระราชวังไปพระราชวังโดลมาบาเช (Dolmabahçe Palace) แทน พระราชวังล้อมรอบด้วยกำแพงขนาดยาวใหญ่กว่า 5 กิโลเมตร บริเวณภายในมีประตู 3 ชั้น ช่วงนี้เขาก็ซ่อมอีกแล้ว เปิดให้พวกเราเข้าชมไม่กี่อาคาร เดินผ่านประตูชั้นแรกหรือ Imperial Gate ด้านในมีต้นไม้ใหญ่ ร่มรื่นช่วยเป็นที่กำบังแดดได้อย่างดี โบสถ์ฮาเกียไอรีน...

เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Hippodrome,Blue Mosque

ก่อนหน้านี้ Goreme Open Air Museum -Pasabag Fairy Chimneys อิสตันบูล (Istanbul) เป็นเมืองที่มีความสำคัญที่สุดและเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในตุรกี มีอายุกว่า 2,600ปี เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์  เปลี่ยนชื่อไปทั้งหมด 5 ครั้ง ตั้งแต่คอนสแตนตินรบชนะโรมันและมาสร้างเมืองใหม่ที่นี่จีงตั้งชื่อว่า "นิวโรม " หลังจากคอนสแตนตินเสียชีวิตก็เปลี่ยนเป็น "คอนสแตนติโนเปิล(Constantinople) " ต่อมาเปลี่ยนชื่อ 'ไบเซนไทน์" พอมุสลิมมาปกครองเปลี่ยนเป็น" อิสลามมาบูล" เมื่อ มุสตาฟาปฏิวัติย้ายเมืองหลวงไปอยู่อังการาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "อิสตันบูล" อิสตัลบูล เป็นเมืองเดียวของตุรกีที่มีพื้นที่อยู่ใน 2 ทวีปคือทวีปเอเชีย  และทวีปยุโรปโดยทั้ง 2 ทวีป ถูกแบ่งออกจากกันโดยช่องแคบบอสฟอรัส ทะเลามาร์มารา และช่องแคบดาร์ดาแนลส์  ส่วนในยุโรปแบ่งออกเป็นอิสตันบูลเก่าและอิสตันบูลใหม่โดยมีโกลเดนฮอร์น (Golden Horn)เป็นทะเลชายฝั่งรูปร่างเว้าเหมือนเขาสัตว์คั่นอยู่ เมื่อเวลามีแสงส่องมาจะสะท้อนเป็นสีทองจึงเรียกว่า Golden Horn และเมืองอิสตันบูลอยู่ฝั่งยุโรปเพียง 3% และอีก 97 %อยู่ฝั่งเอเซีย วันนี้เราไปขึ้นกระเช้า cable car ขึ้นยอดเขา Pierre Loti Hill เพื่อขึ้นชมวิวเมืองอิสตันบูลและวิวของ Golden Horn เราลงจากบันไดก็เจอกับลานกว้าง ซึ่งเป็นจุดชมวิว เปียลอททึ (Pierre Loti)...

เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Goreme Open Air Museum -Pasabag Fairy Chimneys

ก่อนหน้านี้ Ballon Cappadocia – Kaymakli Underground City พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม( Goreme Open Air Museum) วิวระหว่างทาง พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งนี้เกิดขึ้นจากการขุดเจาะถ้ำหินหลายลูกเพื่อทำเป็นโบสถ์สำหรับเป็นศูนย์รวมของผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ในอดีต โดยชาวคริสต์ต้องการเผยแผ่ศาสนาจึงทำการขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์และป้องกันการรุกรานจากชาวโรมันที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์ โดยจักรพรรดิโรมันในช่วงนั้นได้สั่งให้ทหารฆ่าผู้คนที่เชื่อศาสนาคริสต์ไปมากมาย ทั้งยังสั่งให้ทำลายโบสถ์วิหารต่างๆ ไปมากด้วย ทำให้ชาวคริสเตียนต้องการหาที่หลบซ่อนจากทหารโรมันเหล่านั้น และมาในคริสตศตวรรษที่ 4  พระจักรพรรดิโรมันคอนสแตนตินมหาราช พระองค์ทรงเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ดังนั้นพระองค์ทรงบัญญัติให้ศาสนาคริสต์ไม่เป็นศาสนาที่ต้องห้ามอีกต่อไป และคืนอิสระให้แก่ชาวคริสต์เหล่านั้น ต่อมาจึงมีการสร้างโบสถ์ให้ใหญ่ขึ้น ก่อนจะเสื่อมลงหลังจากถูกชาวเติร์กเข้ามารุกราน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งในเขตอุทยานแห่งชาติเกอเรเมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1985 ข้างในเป็นลานกว้าง แผนที่เส้นทางการเดินใน Goreme Open Air Museum มีลักษณะเป็นภูเขารูปทรงแปลก ดูสวยงาม ภายในเคยเป็นโบสถ์และสถานที่ทางศาสนาคริสต์ ทั้งเล็กและใหญ่ ให้เราได้เที่ยวชมกัน โบสถ์ขนาดเล็กสร้างราวศตวรรษที่ 3 - 4 โดยจะมีลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมไม่เกิน 9 ตารางเมตร ที่ผนังมีการเจาะโพรงเข้าไปทำเป็นแท่นพิธีไว้สำหรับประกอบพิธีกรรม และมีสัญลักษณ์แทนองค์พระเยซูซึ่งอาจเป็นเครื่องหมายบวกหรือสัญลักษณ์อื่นตามพระคัมภีร์ ส่วนโบสถ์ขนาดใหญ่นั้นส่วนมากสร้างขึ้นประมาณศตวรรษที่ 9 – 12 ซึ่งเป็นยุคทองของศริสต์ศาสนา จะมีโครงสร้างคล้ายสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์ (Byzantine) โดยเป็นโบสถ์ที่สร้างหลังจักรวรรดิประกาศรับรองศาสนาแล้ว ลักษณะของโบสถ์จึงมีความโอ่อ่าอลังการและประดับด้วยภาพเฟรสโก (Fresco) ซึ่งเป็นเทกนิกการเขียนสีลงบนปูนเปียก โดยภาพส่วนใหญ่เล่าเรื่องราวของพระเยซูและอัครสาวก บางส่วนเล่าเกี่ยวกับการดำรงชีพของผู้คนในสมัยนั้น เดินผ่าน St. Basil Church เป็นที่แรก ...

เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Ballon Cappadocia – Kaymakli Underground City

 ก่อนหน้านี้ Cappadocia วันนี้เราตื่นตั้งแต่ 04.30น. เพื่อจะไปขึ้นบอลลูน..ไกด์บอกเราว่าพวกเราโชคดีที่ได้ขึ้นบอลลูน เพราะบางกรุ๊ปมาแล้วก็อาจจะไม่ได้ขึ้น เพราะอากาศเป็นไม่เป็นใจ...บางคนมาค้างตั้ง 2 คืนก็ไม่ได้ขึ้น....แต่กลุ่มเราโชคดี อากาศดี ได้ขึ้นบอลลูน ค่าขึ้นบอลลูน 230 ดอลลาร์ต่อคนในกลุ่มเราขึ้นทุกคนเลย รถมารับเราแต่เช้า เขาแจก snack box ให้คนละ 1 กล่องรับประทานรองท้องไปก่อน อากาศหนาวมาก ...เราลงจากรถก็เจอกับบอลลูนมากมาย บอลลูนลมร้อนมีหลักการทำงานคือไอร้อนจากหัวจุดเชื้อเพลิงจะส่งให้บอลลูนลูกโตลอยสูงเหนือพื้นดินและกัปตันจะเป็นผู้บังคับบอลลูนให้ค่อยๆลอยตัวไปเรื่อยๆ พวกเราได้ขึ้นบอลลูนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น บอลลูนขึ้นแล้ว...เราตื่นตาตื่นใจมากเลย สวยจริงทุกคนกดชัชเตอร์กันรัวๆ บอลลูนแต่ละลูกจุคนได้ประมาณ 20-28 คน กับตันควบคุมบอลลูนพาพวกเราลัดเลาะไปตามซอกเขา...สวยงามมากเลย จิ้มกล้องไปมุมไหนก็สวยไปหมด บรรยายด้วยภาพก็แล้วกัน เราชมทิวทัศน์บนบอลลูประมาณ1 ชั่วโมงก็จะลงแล้ว พนักงานนำเชือกมาดึงบอลลูน  บอลลูนมาจอดที่ลานกลางแจ้ง เจ้าหน้าที่เปิดแชมเปลฉลองกัน..นอกจากนี้ยังแจกประกาศนียบัตรด้วย จากนั้นรถคันเดิมก็พาเรากลับโรงแรม วิวระหว่างทางมีฝูงแกะเยอะมาก....น่ารักดี รถมาส่งเรารับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม..หลังจากนั้นพวกเราก็ไปเที่ยวนครใต้ดินกันต่อ..ซึ่งในคัปปาโดเกียมีนครใต้ดินประมาณ 36 แห่ง นครใต้ดินเมืองไคมักลี (Kaymakli Underground City) ถูกสร้างจากดินพิเศษที่เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ และเป็นเมืองใต้ดินที่มีความกว้างที่สุดแต่มีความลึกป็นอันดับที่ 2 ในคัปปาโดเกีย เดินเข้ามาก็เจอกับแบบจำลองนครใต้ดิน มี10 ชั้นแต่ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้จะมีเพียง 4 ชั้นเท่านั้น และทุกห้องของแต่ละชั้นเชื่อมต่อถึงกัน การเข้าชมที่นครใต้ดินควรนำผ้าปิดจมูกมาด้วย เพราะฝุ่นค่อนข้างเยอะ และคนที่ไม่สามารถทนสภาพอึดอัดในนครใต้ดินหรือแพ้ฝุ่นอาจจะเดินถึงเพียงแค่ชั้น2 เพราะสามารถเดินย้อนกลับได้ ถ้าเลยกว่านี้ย้อนกลับไม่ได้แล้ว นครใต้ดินมีคนอาศัยอยู่เมืองใต้ดินนี้ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล  มีคนอาศัยอยู่ประมาณ10,000คน เข้ามาอยู่ในนครใต้ดินเนื่องจากมีชาวคริสเตียนอาศัยอยู่ที่นี่ในช่วงศัตรูชาวคริสเตียนบุกหรือศัตรูรุกรานก็จะรวมตัวกันลงไปหลบอยู่ใต้ดินเป็นเวลานานประมาณ  6 เดือนถึง 1 ปีและพอเวลาบ้านเมืองสงบก็ขึ้นมาอยู่ข้างบน ภายในนี้มีระบบระบายอากาศ และสภาพแวดล้อมที่เหมาะในการอยู่อาศัย เช่น  นำ้ อาหาร โบสถ์ โรงเรียน โถง  ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องอาหาร   หลุมฝังศพ...

เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Cappadocia 1

ก่อนหน้านี้ Caravanserai ช่วงบ่ายนี้เรามาเที่ยว คัปปาโดเกียกัน เมืองคัปปาโดเกีย (Cappadocia) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของอานาโตเลีย ในบริเวณตอนกลางของประเทศตุรกี เป็นดินแดนที่มีความสำคัญและเป็นแหล่งอารยธรรมที่มีมาแต่โบราณ เนื่องจากตั้งอยู่ในภูมิภาคตั้งแต่ภูเขาทอรัสไปจนถึงบริเวณทะเลดำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม เส้นทางค้าขายแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ทอดยาวจากตุรกีไปจนประเทศจีน ภูมิประเทศแปลกตา สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ เกิดจาก การระเบิดของภูเขาไฟเมื่อประมาณ 3 ล้านปีมาแล้ว ทำให้เกิดลาวาพ่นออกมา และเถ้าถ่านจำนวนมหาศาล กระจายไปทั่วบริเวณทับถมเป็นชั้นแผ่นดินใหม่ ต่อมาเกิดพายุลมฝน แดด และหิมะกัดกร่อนชั้นลาวาเหล่านี้ทีละเล็กทีละน้อยจนกลายสภาพเป็นหินรูปแท่ง กรวย ปล่อง กระโจม โดมและสารพัดรูปทรง สวยแปลกตาน่าพิศวง จนได้เป็นแผ่นดินที่เห็นในปัจจุบันนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1985 รถจอดที่เนินนกพิราบ(pigeon valley) เป็นจุดชมวิวอยู่ตรงบริเวณหน้าผา ในอดีตนกพิราบนีทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารที่สำคัญสำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ ทั้งยังเป็นสัตว์เลี้ยงอีกด้วย ดังนั้นชาวเมืองโบราณได้ขุดเจาะเป็นรู เพื่อให้นกพิราบเข้าไปทำรังอาศัยอยู่อย่างมากมาย  ปัจจุบันก็ยังมีนกพิราบอยู่บริเวณนี้อยู่มาก จากตรงนี้เรามองเห็นปราสาทอุชิซาร์ (Uchisar Castle) ได้จากระยะไกล Uchisar Castle หินขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางชุมชนในหุบเขาเกอเรเม(Goreme) มีลักษณะคล้ายรังปลวกที่ดูสวยงามและแปลกตา มีบ้านเรือน โรงแรมและ ร้านอาหารและ ร้านค้าอยู่ภายใต้หุบเขานี้ เรียงรายสลับซับซ้อนกัน เนินนกพิราบวันนี้มีนกพิราบไม่เยอะเท่าไหร่ และบริเวณนี้มีต้นไม้ให้ผู้คนมาแขวน evil eye มากมาย ดวงตาปีศาจ (Evil Eye) เป็นเครื่องรางที่ชาวตุรกีเชื่อกันว่าช่วยป้องกันความชั่วร้าย ในภาษาตุรกีมีความหมายถึง ดวงตาของเทพเจ้าฮอรัส เป็นเทพเจ้าของอียิปต์ที่สำคัญมากองค์หนึ่ง ชาวอียิปต์นับถือดวงตาของเทพเจ้าฮอรัส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครอง รวมไปถึงยังเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ สุขภาพดี ที่จะช่วยขจัดปัดเป่าความชั่วร้ายและความยากจนในโลกมนุษย์ให้หมดสิ้นไป ดวงตาปีศาจก็เช่นกันจะป้องกันความชั่วร้ายและความอิจฉาริษยาต่างๆ จากภายนอกมาสู่คุณได้ รถพาเราไป...

เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Caravanserai

ก่อนหน้านี้  Aspendos-Konya เราเดินทางออกจากเมืองคอนย่าเพื่อไปเมืองคัปปาโดเกีย วิวระหว่างทางสวยดี กังหันลมมากมายอยู่บนภูเขา เรานั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมง ก็แวะจอดชม Sultanhani Caravanserai คาราวานซาราย (Caravanserai) ที่พักแรมระหว่างทางของกองคาราวาที่เดินทางเส้นทางสายไหมของชาวเติร์กในสมัยออตโตมัน มีกำแพงล้อมรอบเพื่อป้องกันลมและฝน รวมทั้งพายุทะเลทรายที่รุนแรง และการปล้นสดมภ์ Caravanserai มีมัสยิด โรงครัว ห้องน้ำ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนห้องกับส่วนลาน ส่วนห้องไว้พักช่วงฤดูหนาว บริเวณลานใช้พักในช่วงฤดูร้อน ส่วนพวกสัตว์พาหนะก็ กั้นคอกผูกไว้ด้านนอกกำแพง การเข้าชม caravanserai จะต้องเสียค่าเข้าชมด้วย ไกด์แจกตั๋วให้คนละใบ บริเวณกำแพงติดธงชาติตุรกี ธงชาติของตุรกีมี พื้นธงเป็นสีแดงหมายถึง ความกล้าหาญ พระจันทร์เสี้ยวและดาว หมายถึง เทพีอาร์เทมิส ซึ่งเป็นเทพีแห่งพระจันทร์และดาวประกายพฤกษ์ของพระแม่มารีอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองบิแซนทีอุม (อิสตันบลูในปัจจุบัน) ศิลปะเซลจุก(Seljuk) มีลักษณะคล้ายรวงผึ้ง ซึ่งเราจะเห็นบนประตูทางเข้าแกะสลักอย่างสวยงาม Caravanserai สร้างโดยสุลต่านและชนชั้นสูงเป็นทานให้แก่ประชาชน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดทางการเป็นผู้รับผิดชอบ  เส้นทางเส้นนี้จะไม่มีบ้านคนพักอาศัยเลย ดังนั้นจึงมี คาราวานซาราย หลายๆแห่งเรียงรายกันตามเส้นทางสายไหม  มักจะมีพ่อค้าเดินทางค้าขายและผ้าไหมและเครื่องเทศจากยุโรปสู่จีน และพอตกค่ำก็จะพักที่นี่ โดยจะมีแบบห้องรวมและห้องเดีียวที่สำหรับเศรษฐีหรือเจ้านายชั้นสูง หากมีสินค้าสูญหาย ทางคาราวานซารายต้องรับผิดชอบ และเมื่อถึงเวลาเช้า คนเฝ้าอาคารจะปีนขึ้นไปประกาศเรียกให้ทุกคนตื่นเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางต่อไป ภายในเป็นแบบห้องรวม สำหรับคนงานหรือพวกทาสและสัตว์เลี้ยงจะเข้ามาพักในช่วงหน้าหนาว ที่เห็นเป็นห้องๆจะเป็นห้องเดี่ยว ด้านในของห้องเดี่ยวสำหรับเจ้านายหรือชนชั้นสูง ห้องเดี่ยวมีค่าใช้จ่ายคะ มีการจำลองที่ยิงธนูไว้สำหรับซ้อมด้วย มีการต่อเติมคาราวานซารายให้ใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังสามารถรักษาสภาพได้สมบูรณ์มากเลย เราเดินเล่นถ่ายรูปประมาณ 40 นาทีก็เดินทางต่อไป ด้านตรงข้ามคาราวานซาราย มีร้านขายของและห้องน้ำให้พวกเราเข้าด้วย ที่นี่เข้าฟรี...ปกติเข้าห้องน้ำสาธารณะที่ตุรกี มักจะเสียค่าเข้าประมาณ 1.5-2 ลีรา ร้านขายของที่ระลึกนี้เป็นร้านใหญ่พอสมควร มีของขายหลากหลาย เช่น เสื้อผ้าพื้นเมือง ร่ม ขนม...

เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Aspendos-Konya

ก่อนหน้านี้ Antalya ตื่นเช้ามาก็เดินมาชมพระอาทิตย์ยามเช้าจากระเบียงห้อง  หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้วรถก็แล่นผ่านเมือง Antalya อีกครั้ง เราเดินทางไปเมืองเอสเพนโดส (Aspendos) ระยะทาง 45 กิโลเมตร ใช้เวลา 45 นาที เมืองแอสเพนโดส (Aspendos)  เป็นเมืองโบราณของพวกกรีกและโรมัน เป็นเมืองเก่าแก่ของดินแดนแพมฟีเลีย(Pamphylia) ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำยูรีเมดอน อยู่ห่างจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนประมาณ 16 กม. เมืองนี้มีโบราณสถานที่มีชื่อเสียงและได้ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีคือโรงละครโรมัน (Roman Amphitheater) โรงละคร Aspendos ถูกสร้างโดยชาวกรีกรูปแบบโรมัน  สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 155 ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของมาร์คัส ออเรลีอุส (Marcus Aurelius) โดยการออกแบบ ของคนพื้นเมืองชาวกรีกชื่อ เซนอน (Zenon) และมีเคล็ดลับในเรื่องระบบเสียงสะท้อนอันยอดเยี่ยม โดยถ้าทำเสียงกระทบด้านล่างจะสะท้อนได้ยินถึงชั้นบน โรงละครมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 96เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 15,000 คน มีเวทีแสดงด้านหลังที่ถูกสร้างขึ้นหลายชั้นเหมือนกับอพาร์ตเม้นท์ มีห้องสำหรับนักแสดงเพื่อไว้เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย นอกจากนั้นทางด้านซ้ายและด้านขวายังมีทางที่ยื่นออกไปเหมือนกับระเบียงที่ติดต่อกับที่นั่ง ซึ่งด้านขวาจะเป็นส่วนที่นั่งสําหรับจักรพรรดิเท่านั้น  หลังจากที่กองคาราวานของพวกเซลจุกพักได้ที่นี่ ก็มีการต่อเดิมเพิ่มซุ้มประตูโค้ง รูปแบบของอิสลามเข้าไปทางด้านเหนือของปีกด้วย และมุสตาฟา เคมาล อะตาเติร์กก็ได้เสนอให้ใช้สถานที่ แห่งนี้จัดมวยปล้ําอีกด้วย โชคดีวันนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่ ทำให้เราได้ถ่ายรูปเยอะมาก กำแพงก็ยังสมบูรณ์ โรงละครโบราณที่ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แทบจะไม่ต่างจากเมื่อตอนถูกสร้างเลย ทุกวันนี้โรงละครแห่งนี้ก็ยังคงถูกใช้แสดงในงานสำคัญต่างๆ เช่นการแสดงคอนเสิร์ต ,โอเปร่า เราใช้เวลาที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็เดินทางออกจากที่นี่ ทางออกจะต้องผ่านร้านขายของที่ระลึก มีหลาหลายมากทั้ง พวงกุญแจ ชามสวยๆ แก้วชา...

เที่ยวตุรกีสนุกกว่าที่คิด Antalya

ก่อนหน้านี้  pamukkale เช้านี้ก่อนออกจากเมือง ปามุคคาเล่ เราแวะจุดชมวิวซึ่งเป็นบริเวณสระน้ำด้านล่างของปามุคคาเล่ มีบอลลูนหลายลูกอยู่บนท้องฟ้า สระนี้เป็นจุดชมวิวอีกจุด และบรรยากาศสดใสมาก ชวนให้ถ่ายรูป ในสระมีเป็ดมากมายดูน่ารักน่าซัง หลังจากถ่ายรูปมากมายพวกเราก็เดินทางไปเที่ยวเมืองอันดาเลียต่อ ระยะทาง 242 กิโลเมตร ใช้เวลา 3.30 ชั่วโมงถ ถึงเมืองอันดาเลียก็ได้เวลารับประทานอาหารกลางวันพอดี  ร้านอาหาร denizimpark เป็นอาหารพื้นเมือง บรรยากาศดี เมนูมื้อนี้ก็เป็นไก่และตามด้วยเครื่องเคียง..ไกด์เอาน้ำจิ้มไก่กับน้ำจิ้มแจ่วมาให้ทาน ..รสชาดดีขึ้นมาก Antalya (อันตาเลีย)เมืองเก่าแก่ริมทะเลสาบเมดิเตอร์เรเนียนมีทิวทัศน์ที่งดงามจนได้รับการขนานนามว่าเป็นริเวียร์ร่าของตุรกีเลยทีเดียว  รถมาส่งเราบริเวณนี้เพื่อลงลิฟท์ไปท่าเรือ ย่าน Kaleici หรือย่านท่าเรือเก่าอยู่ใจกลางเมืองเก่าที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาถ่ายรูป เป็นท่าเรือที่ล้อมรอบด้วยป้อมปราการสมัยโบราณ และยังเป็นท่าเรือที่นักท่องเที่ยวนิยมล่องเรือเพื่อชมทิวทัศน์ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พวกเราขึ้นเรือที่ตกแต่งคล้ายเรือโจรสลัด โดยเรือทั้งลำเป็นของพวกเรา เป็นส่วนต้วมาก ใช้เวลาล่องเรือ 2 ชั่วโมง เรือเริ่มแล่นออกจากท่าเรือให้พวกเราได้ชมความงามของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จะรอช้าทำไมละ..ก็โพสท่าถ่ายรูปกันสนุกไปเลย เรือพาเราลัดเลาะไปตามหน้าผา มีโรงแรมห้าดาวเรียงราย และพาเราไปชมน้ำตกดูเดน (Duden Waterfall)เกิดจากแม่น้ําดูเดน (Duden River) และไหลเรื่อยไปจนสิ้นสุดที่หน้าผาหินริมทะเล ไหลลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เรือนำหัวเรือพาพวกเรามาใกล้น้ำตก ให้พวกเราได้ถ่ายรูปอย่งใกล้ชิด หลังจากนั้นเรือก็หันหัวเรือกลับท่าเรือตามเดิม เมื่อถึงฝั่ง.. เพื่อดับกระหายพวกเราก็ทานน้ำทับทิมกัน...ที่ตุรกีเขาจะนำทับทิมมาคั้นให้กินสดๆ....อร่อยมาก น้ำทับทิมสดมีประโยชน์มากมีวิตะมินซีสูง ช่วยปัองกันหวัดได้ ช่วยบำรุงผิวพรรณ ป้องกันการเกิดริ้วรอย ช่วยลดความดัน เขาบอกว่าถ้าทานน้ำทับทิมวันละ 50 cc สามารถลดความดันได้ นอกจากนี้ยังลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งด้วย....ดังนั้นมาเที่ยวทั้งทีก็ควรจะดื่มน้ำทับทิมทุกวัน...สดชื่นและทำให้สุขภาพแข็งแรง เดินขึ้นไปบนเขาเพื่อไปเที่ยวชม Hidrik Tower ทางเดินเพื่อไปชมหอคอย เป็นซอยเล็กๆ Hidrik Tower (ฮิดิร์ลิค ทาว์เวอร์) หอคอยทรงกลมสร้างขึ้นจากหินสีน้ำตาลอ่อนเพื่อใช้เป็นป้อมปราการหรือประภาคารในอดีต วิวรอบๆหอคอยและเป็นจุดชมวิวที่สวยจุดหนึ่ง เราใช้เวลาถ่ายรูปบนนี้ประมาณ15 นาทีก็เดินทางต่อไป ที่ตุรกีแมวเยอะมากมาย เราอดใจไม่ไหวที่จะถ่ายรูปเก็บเอาไว้ บริเวณนี้มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ดูบรรยากาศแล้วอยากทานอาหารที่นี่จัง มีร้านขายของเล่น ร้านขายพรม และร้านขายโคมไฟสวยๆ และเราก็เดินมาถึงประตูเฮเดรียน (Hadrian's gate) ประตูชัยสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงจักรพรรดิโรมันเฮเดรียน...