ก่อนหน้า Topkapi Palace

เช้านี้เราไปเที่ยวมัสยิดชามลีกา (Camlica Mosque) อยู่ฝั่งเอเซีย

พวกเราใช้เวลาเดินทางจากโรงแรม Hillton Piyalepasa Hotel ไปมัสยิดแห่งนี้ 1 ชั่วโมง

มัสยิดชามลีกาตั้งอยู่บนเนินเขา Kamlyka เป็นมัสยิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตุรกี มีเนื้อที่ 57,500 ตารางเมตร เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2013 เปิดให้ปฏิบัติศาสนกิจครั้งแรกเมื่อวันที่  7 มีนาคม 2019 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 66.60 ล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐ

มัสยิดแห่งนี้ได้ถูกบันทึกให้เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตุรกี หอคอยที่มีความสูงตระหง่านจำนวน 6 หอคอย โดยการอ้างจากศรัทธาของศาสนาอิสลามที่มีอยู่ 6 ประการด้วยกัน โดยหอคอยทั้ง 4 มีความสูง 107.10 เมตร ได้สื่อถึงชัยชนะของชาวเติร์กที่ชนะไบเซนไทล์ ในการทำสงคราม Malazgirt ปีค.ศ. 1071  ส่วนโดมหลักจะมีความสูง 72 เมตร สร้างโดยมีการอ้างอิงจาก 72 เชื้อชาติที่พักอาศัยในอิสตันบูล ส่วนโดมขนาดเล็กมีความสูง 34 เมตร

ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของกรุงอิสตันบูลก็จะสามารถเห็นหออะซานของที่นี่ได้เด่นชัดและสวยงาม

มัสยิดสามารถรองรับผู้ปฎิบัติศาสนกิจได้มากถึง 63,000 คนโดยใช้สถาปัตยกรรมตามแบบฉบับออตโตมันและเซลจุก รวมถึงศิลปะในปัจจุบันผสมผสานกันได้อย่างลงตัวที่สุด

การเข้าชมมัสยิดทุกที่จะต้องแต่งกายสุภาพ ไม่ใส่รองเท้าเข้าไปข้างใน ไม่ส่งเสียงดัง

ผู้หญิงจะต้องสวมกระโปรงยาวคลุมเข่า และโพกผ้าคลุมศีรษะ

ภายในตัวมัสยิดจะมีการนำหลักคำสอนในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านนำมาเขียนไว้ ส่วนบนของโดมหลักมีการนำพระจันทร์เสี้ยว มีความกว้าง 3.12 เมตร สูง 7.7 เมตรหนักประมาณ 5 ตัน ถือเป็นพระจันทร์เสี้ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ภายในมัสยิดจะมีการจัดแบ่งเป็นส่วนต่างๆเช่นส่วนที่ปฏิบัติศสสนกิจ พิพิธภัณฑ์ จัดแสดงนิทรรศการ ศิลปหัตถกรรม ห้องประชุม

เรามาเช้ามาก ยังไม่มีคนมามากนัก  

ด้านบนโดมเขียนลวดลายสีฟ้า สวยงาม

พวกเราใช้เวลาเที่ยวชม 30 นาทีก็เดินทางต่อ

วิวบนนี้มองลงไปสวยมาก

จากนั้นพวกเราไปชม Beylerbeyi Palace โดยนั่งรถประมาณ45นาที ซึ่งเรายังคงอยู่ที่ฝั่งเอเซีย

Beylerbeyi Palace  ความหมายว่า “Lord of Lords”  หรือพระราชวังของราชาแห่งราชา ” เป็นพระตำหนักฤดูร้อนสมัยออตโตมันมาตั้งแต่ทศวรรษที่1860 พระราชวังแห่งนี้ถูกออกแบบโดยสถาปนิกฝรั่งเศสที่ชื่อว่า Sarkis Balyan สร้างขึ้นตามคำสั่งของสุลต่านอับดุลอะซิซ  โดยตั้งใจให้เป็นสถานที่บันเทิงกับแขกบ้านแขกเมือง โดยที่แขกคนสำคัญที่เคยมาเยือนพระราชวังได้แก่ จักรพรรดินีเออเฌนีของฝรั่งเศสและแกรนด์ดยุคนิโคลัสของรัสเซีย

ผ่่านเข้ามาทางประตูทางเข้าบริเวณสวนเจอกับแมวน่ารักๆเยอะมากเลย

บริเวณด้านนอกพระราชวังมีสระน้ำใหญ่มาก

พระราชวังตั้งอยู่ใกล้สะพาน Bosphorus Bridge  หรือมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “15 July Martyrs Bridge โดยมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการเป็น สะพานแรก (Birinci Köprü) เป็นสะพานทอดยาว เชื่อมต่อระหว่าง Ortaköy (ในยุโรป) และ Beylerbeyi (ในเอเชีย)

พระราชวังแห่งนี้ออกแบบ สไตล์นีโอบารอค  (Neo Baroque) ทำจากหินอ่อนสวยงาม เป็นพระราชวังที่มีโครงสร้างคล้ายๆกับโดลมาบาเซ่  พระราชวังนี้ไม่มีเครื่องทำความเย็นเพราะติดกับแม่น้ำอากาศเย็นสบาย

สุลต่านอับดุลอะซิซ ผู้น้องสร้างพระราชวังฤดูร้อน ส่วน สุลต่านอับดุลเมจิตผู้พี่พี่สร้างพระราชวังโดลมาบาเซ่ ภายในการตกแต่งเหมือนกันทุกอย่างเลย แต่ โดลมาบาเช่มีขนาดที่ใหญ่และอลังการกว่ามาก

ประตูริมน้ำ

บริเวณทางเข้ามีสิงโต 2 ตัวอยู่หน้าประตู

ตัวนี้สิงโตด้านข้าง

ภายในมี 3 ชั้นมีห้อง24 ห้อง มีการแบ่งพื้นที่ใช้สอยสำหรับชายและหญิง  ภายในตกแต่งสวยงามด้วยไม้โดยเขียนให้เหมือนหินอ่อน ประดับประดาด้วยพรม เครื่องแก้ว  แชงกาเรียขนาดใหญ่ เครื่องลายครามจากจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศสและตุรกี  นอกจากนี้ยังมีห้องนอนสุลต่าล และห้องน้ำสไตล์ตุรกีทำจากหินอ่อน

ภายในห้ามถ่ายภาพ

เราจับเสาดูเย็นๆเหมือนหินอ่อนมาก …แต่ไกด์บอกว่าเสาพวกนี้ทำจากไม้วาดลวดลายหินอ่อน

ใช้เวลาชมพระราชวังประมาณ 45 นาที พวกเราก็เดินออกมาที่ท่าเรือซึ่งอยู่ข้้างๆกัน

เราขึ้นเรือที่ท่าเรือใกล้กับพระราชวัง Beylerbeyi  เป็นเรือแบบเหมา ดังนั้นการเดินเรือจึงไม่เหมือนกับเรือโดยสารทั่วไป เรือเริ่มจากพระราชวัง Beylerbeyi และไปสิ้นสุดที่พระราชวังโดลมาบาเช่ (Dolmabahce Palace) เวลาในการนั่งชมวิว 1 ชั่วโมง 

เราล่องเรือเพื่อชมวิวสองฝั่งของช่องแคบบอสฟอรัสตามลูกศรข้างล่าง

ลมแรงมากเลย แต่พวกเราก็สนุกสนานกับการถ่ายรูป

Kuleli Askeri High School 

เรือแล่นบนช่องแคบบอสฟอรัสโดยช่องแคบนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมระหว่างทะเลดำตอนบนกับทะเลมาร์มาราตอนล่างซึ่งทะลุไปออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ ทำให้บริเวณนี้เป็นจุดตัดสำคัญทางการค้าและการทหารทั้งทางบกและทางน้ำระหว่างสองทวีป

สะพานบอสฟอรัสทอดตัวเชื่อมสองทวีป ฝั่งซ้ายคือยุโรป ฝั่งขวาคือเอเชีย เพิ่งเปิดใช้เมื่อปี ค..1973 หรือเกือบ 40 ปีที่แล้ว

สักพัก เราก็เห็นสะพาน Bosphorus Bridge แบบเต็มๆ

เรือแล่นได้พอสมควรก็เห็นสะพานฟาติห์สุลต่านเมห์เม็ต (Fatih Sultan Mehmet Bridge)หรือที่เรียกกันว่า สะพานบอสฟอรัสสอง (Fatih Sultan Mehmet Köprüsü, FSM Köprüsü หรือ 2.Köprü) สะพานถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ ในปี ค.. 1988 ตั้งอยู่ระหว่าง Hisarüstü (ฝั่งยุโรป) และ Kavacık (ฝั่งเอเชีย)

 ข้างๆสะพานจะเป็นป้อมปราการ Rumelian Castle และ Roumeli Hissar Castle ตั้งอยู่ฝั่งยุโรป ป้อมปราการในยุคกลาง ถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี ค.. 1451-1452 ซึ่งตั้งอยู่ภายในเขตแดนของ Sarıyer District ครอบคลุมพื้นที่ 30,000 ตารางเมตร

เป็นโบราณสถานอันงดงาม ที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้คำสั่งของ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 แห่งออตโตมัน (Ottoman Sultan Mehmed II) เพื่อเป้าหมายทางการทหาร และการขนส่งสินค้า ต่อมาป้อมปราการแห่งนี้ เสียหายอย่างมาก จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ ในปี ค.. 1509 โดยโครงสร้าง ได้รับการซ่อมแซม และใช้อย่างต่อเนื่อง จนถึงปลายศตวรรษที่ 19

สำหรับในปัจจุบัน ป้อมปราการเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยว และยังเป็นสถานที่กลางแจ้ง สำหรับจัดคอนเสิร์ตตามฤดูกาล, เทศกาลศิลปะ และกิจกรรมพิเศษอื่นๆ ซึ่งช่องแคบบอสฟอรัส มีป้อมปราการที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกัน ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่ง และมีชื่อเรียกต่างกัน ดังนี้

ป้อมปราการมีอยู่ทั้ง 2 ฝั่งตรงข้ามกันส่วนฝั่งที่อยู่เอเซียเรียกว่า อนาโตเลีย (Anatolia)

Küçüksu Palace พระราชวังสมัยออตโตมันอีกแห่งที่สุลต่านเอาไว้มาพักผ่อนและล่าสัตว์

เรือย้อนกลับมาที่สะพานบอสฟอรัสอีกครั้งแต่อยู่ที่ฝั่งยุโรป ซึ่งตรงข้ามกับพระราชวัง Beylerbeyi

ใกล้ๆสะพาน จะเห็นมัสยิด Ortaköy Mosque ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานบอสฟอรัสฝั่งยุโรป

Dolmabahçe Mosque ใกล้กับท่าเรือที่จะขึ้นไปยังพระราชวังโดลมาบาเช่ (Dolmabahçe Palace)

และเราก็ขึ้นท่าเรือบริเวณนี้เพื่อไปชมพระราชวัง Dolmabahçe Palace

ตอนต่อไป Dolmabahçe Palace , Hagia Sophia 

 

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here