อินเทอร์ลาเก้น
ตื่นแต่เช้าตามกำหนดการ เพื่อเดินทางไปยอดเขาจุงฟราว ซึ่งเป็น highlight ของวันนี้
พวกเรานั่งรถบัสคันเดิม เพื่อเดินทางไปยังจุงฟราว โดยใช้เส้นทาง Grindelwald Grund- Kleine Scheidegg- Jungfraujoch ระหว่างที่นั่งรถเราได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามโดยเห็นเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดเส้นทางและเห็นทะเลสาบฺ Brienzersee
ทะลสาบ Brienzersee
เป็นทะเลสาบที่มีน้ำใสที่สุดในสวิส
พวกเรามารอขึ้นรถไฟที่ Grindelwald
Grindelwald เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เป็นที่พักผ่อนตากอากาศและเล่นสกีกันตั้งแต่เมื่อเกือบ 200 ปีก่อนแล้ว ทำให้สกีรีสอร์ตใน Grindelwald ได้รับการพัฒนาเรื่อยมา จนจัดได้ว่ามีความทันสมัยและดีเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
เมืองเล็กบนไหล่เขา บ้านทำด้วยไม้และรูปทรงแบบสวิสดั้งเดิม ดูแล้วเหมือนรูปภาพในโปสการ์ดเลย
พวกเรามีเวลาชื่นชมไม่นานนักก็ต้องรีบขึ้นรถไฟตามเวลาในตั๋ว
Grindelwald
ได้ชื่อว่าเป็น Top of Europe มีความสูง 4,158 เมตร และเมื่อปี 2001 องค์การยูเนสโก้ได้ประกาศให้ยอดเขายุงเฟรา และเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของยุโรปอีกด้วย
จุงฟราวยอร์ค (Jungfraujoch)
พวกเราขึ้นรถไฟที่ Grindelwald ก่อนที่จะไปหยุดตรงสถานีต้นทางที่ไคล์เน่ไชเดค (Kleine Scheidegg) เพื่อเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟล้อเฟืองเดินทางจากไคล์เน่ฯที่มีความสูง 2,061 เมตร
รถไฟขบวนใหม่ค่อยๆไต่ระดับความสูงขึ้นไปมากขึ้นเรื่อยๆในเส้นทางสู่หลังคายุโรปยาว 12 กิโลเมตรจากไคล์เน่ฯ ไปจนถึง Eiger Glacier แล้วแล่นไต่ไปตามไหล่เขาอีกประมาณ 2 กิโลเมตรจากนั้นจึงๆค่อยมุดเข้าไปอุโมงค์บนเขาก่อนจะหยุดพักประมาณ 5นาทีเพื่อให้ผู้โดยสารได้ปรับร่างกายอีกครั้งเพื่อให้ชินกับระดับความสูงที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังได้จอดชมวิวอีก 2 จุดคือที่สถานีไอเกอร์วาน (Eigerwald) ซึ่งสูงราว 2,865 เมตรจากนั้นรถไฟแล่นไปจอดอีกครั้งที่สถานีไอเมียร์ (Eimeer) ที่มีความสูง 3,160 เมตร สำหรับที่บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยธารน้ำแข็งและโขดหินก่อนที่รถไฟจะแล่นต่อไปยังสถานี จุงฟราวยอร์ค(Jungfraujoch) ซึ่งมีความสูงถึง 3,454 เมตร
เส้นทางการขึ้นเขา
ระหว่างนั่งรถไฟเราก็นั่งชื่นขมความงามทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ใช้เวลาในการนั่งรถไฟประมาณ 1 ชั่วโมง
รถไฟฟ้า
จะเห็นนักเล่นสกีออกมาเล่นสกีกันมาก เราเองก็อยากลองเล่นเช่นกันแต่เวลาเรามีจำกัดจึงได้แต่มองพวกเขาเล่น
สกีรีสอร์ท
ทันทีที่เราถึงสถานีจุงฟราว ไกด์ก็แนะนำให้เราเดินช้าๆ เพราะในที่สูงจะมีปริมาณออกซิเจนต่ำ ดังนั้นการเดินช้าๆก่อนจะทำให้เกิดการใช้ออกซิเจนน้อยลง ไม่ทำให้เหนื่อยง่าย
และพวกเราก็เดินไปใน Ice Palace ถ้ำน้ำแข็ง ที่สร้างโดยการเจาะธารน้ำแข็งเข้าไปภายในและแกะสลักน้ำแข็งเป็นรูปต่างๆ อย่างสวยงาม
Ice palace
ข้างในมันลื่นมาก แต่ก็สนุกเหมือนใส่รองเท้าผ้าใบเล่นสเก็ต
มีรูปแกะสลักมากมาย เช่นรูปหมี นกเพนกวิน พวกเราก็เฮโลถ่ายรูปกันใหญ่เลย
Ice Palace
จากนั้นพวกเราก็มาเล่นและถ่ายรูปหิมะที่ลาน Plateau ประมาณ 30 นาที แต่มันหนาวมากและลมแรงมากๆแต่ด้วยความอีดและอยากเล่นหิมะจึงพยายามเล่นนานๆแตที่ไหนได้มือเกือบเป็นน้ำแข็งเลย จนทนไม่ไหว เข้าไปหาความอุ่นดีกว่า
อาหารกลางวัน
เราทานอาหารกลางวันบนเทือกเขา โดยทางทัวร์จัดให้เป็นบะหมี่ ใส่พริก มีรสเผ็ดปานกลาง
ข้างในเป็นเชอเบตสตอเบอรี่ อร่อยดี เรากินไป 2 ถ้วยเพราะเขาให้มาเกินและไม่คิดเงินเพื่มด้วย
ไอศครีม
เราไปซื้อโปสการ์ด เพื่อส่งให้ตัวเองโดยไปรษณีย์ที่สูงที่สุดในโลก
ต้องซื้อ stamp ด้วยนะโดยบอกเขาว่าเราอยู่ประเทศไหนเขาก็จะคิดเงินตามนั้นและที่ขาดไม่ได้คือต้องหยอดลงตู้ด้วย
ไปรษณีย์
พวกเราขึ้นลิฟท์ไปต่อยังจุดชมวิว Sphinx Viewpoint
เราออกไปถ่ายรูปที่จุดชมวิว Sphinx Viewpoint คนเข้าๆออกกันพอสมควร คงเป็นเพราะอากาศหนาวมาก เราเองก็อยู่นานไม่ได้เหมือนกันเพราะรู้สึกว่าเหนื่อยมากกว่าปกติ
จุดชมวิว Sphinx Viewpoint
จากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับโดยนั่งรถไฟไปยัง หุบเขาเลาเทอร์บรุนเนน
อีกรูป
สถานีสุดท้ายที่เราจะเปลี่ยนจากรถไฟเพื่อต่อรถบัส
เลาเทอร์บรุนเนน
จากนั้นพวกเราก็เดินทางไปยังอินเทอร์ลาเก้นท์เป็นจุดหมายต่อไป
อินเทอร์ลาเก้น(INTERLAKEN)ตั้งอยู่บนความสูง570เมตร
มีเทือกเขาทอดยาวขนานกันที่เราเรียกกันว่าJungfrauซึ่งมีเขา Eiger ,Moench ,Jungfrau เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างทะเลสาบ 2 แห่ง คือ ทะเลสาบธุน (Thun) และ ทะเลสาบเบรียนส์(Brienz) เสมือนประหนึ่งเมือง แห่งนี้ถูกโอบล้อมอยู่ในอ้อมกอดของหุบเขาและสายน้ำสีฟ้าคราม สดใสของทะเลสาบ
Royal St.Gorge Hotel
พวกเรามาพักที่โรงแรมแห่งนี้อยู่ในตัวเมือง interlaken เป็นรงแรม 4 ดาว แต่ไม่สวยเท่าโรงแรมที่พักในวันแรก และโรงแรมก็ไม่มีแอร์ด้วย คงเป็นเพราะอากาศหนาวเย็นของเมืองนี้จึงทำให้ไม่ต้องเปิดแอร์นอน
เมื่อมาถึงโรงแรมพวกเราก็ล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะไปเดินเล่นในเมือง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเท่าใดนัก
เมืองนี้สวยงามปานรูปวาดมองไปไหนก็เห็นแตเทือกเขาล้อมรอบ นอกจากนี้ยังมีร้านขายสินค้ามากมาย เช่นนาฬิกา มีดพับ ร้านขายของฝากและซ็อกโกแลต เรามาหยุดที่ร้านนาฬิกานานมากเพราะมัวแต่ต่อราคาอยู่ จึงไม่ค่อยได้ชื่นชมเมืองเท่าไร พอเสร็จธุระปรากฏว่าได้เวลากินข้าวซะแล้ว
Interlaken
เรามารับประทานอาหารค่ำแบบฟองดูว์ที่ร้านนี้ ซึ่งตกแต่งสวยงามด้วยสวนดอกไม้และน้ำพุ
ร้านอาหารค่ำ
คล้ายๆกับจิ้มจุ่มบ้านเรา แต่น้ำซุปเขาใส่ ซีส ไวน์ และน้ำมันมะกอก เราเลือกแบบที่ไม่ใส่ซีสและไวน์ แต่ใส่น้ำมันมะกอกอย่างเดียว ทำให้น้ำมันกระเด็นตลอดเวลา เราก็ถามพนักงานเสริฟว่าจะต้องทำอย่างไรดี เขาก็เอาขนมปังมาปิดฝาหม้อ ทำให้เรากินได้ตลอดรอดฝั่งโดยไม่มีน้ำมันกระเด็นเลย
ฟองดูว์
ขอจบด้วยการแสดงพื้นเมืองแบบสวิส โดยมีนักดนตรีมาเล่นเครื่องดนตรีแบบพื้นเมืองหลายๆอย่าง เช่น pine wood และให้ผู้ชมร่วมเล่นด้วย การแสดงประมาณ 1 ชั่วโมง
การแสดงพื้นเมืองแบบสวิส
เมื่อกินเสร็จก็มืดพอดี แต่ยังมีร้านเปิดอยู่ เมืองนี้ร้านค้าปิดประมาณ 22.00 น. เรามาเลือกซื้อของฝากเพื่อนๆ เช่น พวงกุญแจ มีดพับ ใกล้โรงแรมที่เราพักและร้านนี้สามารถแกะสลักชื่อบนมีดพับได้ด้วย ค่าบริการฟรีคะ และเป็นร้านที่ขายไม่แพงด้วยถ้าเทียบกับร้านอื่นๆ
ที่สวิส Tax refund 7%