เนเธอร์แลนด์

วันนี้เป็นวันที่เราอยากมาเที่ยวมากที่สุดในโปรแกรม เราใส่เสื้อสีขาวเพื่อที่จะได้ถ่ายรูปกับดอกไม้สีสดได้สวยและไม่แข่งกับดอกไม้ด้วย พวกเราออกจากโรงแรมเวลา 08.30 นใช้เวลาในการเดินทางถึงสวนเคอเคนฮอฟ ประมาณ 30 นาที

สวนเคอเคนฮอฟ( KEUKENHOF )ตั้งอยู่ที่ชานเมืองลิซเซ่ (Lisse) ซึ่งเป็นแหล่งปลูกทิวลิปที่ใหญ่และสำคัญยิ่งของฮอลแลนด์ สวนเคอเคนฮอฟ เดิมเป็นสวนสาธารณะมาก่อน ต่อมาสมาคมผู้ส่งเสริมการปลูกดอกไม้ประเภทไม้หัวแห่งเมืองลิซเซ่ ได้ใช้สวนแห่งนี้ส่งเสริมการปลูกไม้หัวพันธุ์ใหม่ๆ โดยแบ่งที่ให้กับบริษัทผู้ผลิตไม้หัวเป็นผู้ปลูกและเข้าบำรุงรักษา ซึ่งก็ทำให้เกิดพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้นทุกปี ผู้ซื้อทิวลิปจากทั่วโลกจะมาชมและคัดเลือกทิวลิปที่ต้องการจากแปลงสาธิต ในสวนเคอเคนฮอฟแห่งนี้ สวนเคอเคนฮอฟ เป็นสวนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยทิวลิปที่มีมากกว่า 7 ล้านต้น ออกดอกบานสะพรั่งอยู่ดูละลานตา

สวนจะเปิดให้เข้าชมปีละครั้งประมาณกลางเดือนมีนาคม ไปจนถึงปลายเดือนพฤษภาคมของทุกปี ช่วงที่ทิวลิปจะสวยที่สุด จะอยู่ระหว่างวันที่ 8 เมษายน ไปจนถึง 20 เมษายน ใน1ปีจะมีผู้เข้ามาชมสวนประมาณ 4- 5 ล้านคน

ก่อนจะถึงสวนเราก็เจอทุ่งดอกไม้สวยงามอยู่ข้างทาง

ค่าเข้าชมคนละ 15 ยูโรหรือ 600 บาท

สวนเคอเคนฮอฟ

สวนมีพื้นที่ขนาด 200 ไร่ การตกแต่งสวนหลากไสตล์ ทั้งแบบฝรั่งเศส อังกฤษและแบบญี่ปุ่น เมื่อเดินไปจนสุดจะพบกังหันลมและสระน้ำ

สวนเคอเคนฮอฟ

“ทิวลิป” หรือ Tulip นี้ เชื่อกันว่ามาจากชื่อที่เรียกผ้าโพกศีรษะของชาวสลาฟ ซึ่งชาวตุรกีเรียกผ้าโพกศีรษะนี้ว่า tulbend
ทิวลิปดอกแรกที่ปรากฏอยู่ในตำนานนั้น ได้แก่ ดอกทิวลิปสีแดงสด ซึ่งชนชาวเปอร์เซียนโบราณเชื่อกันว่า เป็นสัญลักษณ์ของหยดเลือดและความรักอันจิรังกาล
ทิวลิปถูกนำมาสู่ฮอลแลนด์ในราวปี ค.ศ. 1593 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ หากไปถามใครว่าอะไร ที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นฮอลแลนด์ ทุกคนจะกล่าวเหมือนๆ กันว่า “ทิวลิป กังหันลม และรองเท้าไม้” ตามลำดับ และการปลูกทิวลิปจึงกลายเป็นอุตสาหกรรมหลักของชาวฮอลแลนด์ และเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของฮอลแลนด์ มาจนทุกวันนี้

ดอกทิวลิป

มีทิวลิปหลากหลายสี สีเหลือง สีแดง สีชมพูจนถึงสีม่วงซ่งมีทั้งม่วงอ่อนจนไปถึงม่วงเข้มที่มองไกลๆเห็นเป็นสีดำ

ทิวลิป

ทิวลิปเป็นดอกไม้ที่เราชอบมากที่สุด ได้มาเห็นทิวลิปหลากหลายแบบนี้ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นและเพลิดเพลินตลอดเวลา

ทิวลิป

ทิวลิปสีขาวก็ดูสวยเหมือนกันนะ

นอกจากนี้สำหรับบางท่านที่มาไม่ทันเห็นดอกทิวลิปบานหรือดอกโรยไปแล้วจะสามารถดูทิวลิปที่เรือนกระจกได้

เป็นเรือนที่มีการเพาะดอกไม้ไว้นานาชนิดและมีการตกแต่งดอกไม้อย่างสวยงาม สำหรับผู้เข้าชมถ้าไม่สามารถเห็นดอกไม้ที่สมบูรณ์จากด้านนอกสามารถมาหาดูได้ที่เรือนกระจกแห่งนี้

เรือนกระจก

มีหลากหลายแบบและสวยงาม

ดอกไม้ในเรือนกระจก

ดอกไม้ในเรือนกระจกดูสวยงามและสมบูรณ์

ทิวลิป

ดอกนี้ก็สวยดี

ทิวลิปม่วง

นอกจากจะมีดอกทิวลิปแล้วก็มีดอกลิลลี่ ไฮยาซินต์ และนาซิสซัสหลากสี

เราเดินไปจนสุดสวนพบกับกังหันลม เราจีงขึ้นไปบนกังหันลมเพื่อถ่ายรูปดอกไม้สวยๆเป็นท้องทุ่งราวกับพรมซึ่งอยู่ด้านหลังของสวน

ทุ่งดอกไม้

ในสวนมีรูปปั้นแบบต่างๆดูสวยและแปลกดี

สวนเคอเคนฮอฟ

ดอกทิวลิป

ก่อนออกจากสวนเราก็เก็บภาพดอกทิวลิปที่บริเวณประตูมาให้ดู

จากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อไปประเทศเบลเยี่ยม สิ่งแรกที่พวกเราไปชมคืออะตอม สร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของงาน EXPO ในอดีต
อะตอมเมียม (Atomium) สร้างในปี ค.ศ.1958 มาจากแนวคิดเรื่องโมเลกุลของเหล็ก (Iron: Fe) ที่มีเหล็ก 8 อะตอม อะโตเมียมสูงราว 108 เมตร น้ำหนัก 2,400 ตัน ประกอบด้วย ลูกบอล 9 ลูกเชื่อมต่อกันด้วยท่อโลหะ ซึ่งภายในเป็นทางเดินบันไดเลื่อนตกแต่งอย่างสวยงาม ลูกบอลแต่ละลูกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 18 เมตร ใช้เป็นพื้นที่ชมวิว ห้องอาหาร ห้องแสดงนิทรรศการด้านวิทยาศาสตร์วิทยาการหมุนเวียนกันไปในตัว ตรงแกนกลางของอะตอมมีลิฟต์ที่เร็ว 5 เมตรต่อวินาที ค่าเข้าชม 9 ยูโรต่อคน

อะตอม

มาถึงเบลเยียมถ้าไม่ได้ถ่ายรูปกับสิ่งนี้ถือว่าไม่ได้มา

พวกเราไม่ได้เข้าไปข้างในกัน เนื่องจากเวลาไม่พอจึงถ่ายแค่ด้านนอกไปก่อน

อาคารแสดงสินค้าอยู่ตรงข้ามกับอะตอม ซึ่งจัดงาน expo ต่างๆ

อาคารแสดงสินค้า

จากนั้นพวกเราก็ตรงเข้าไปยังกรุงบรัสเซลส์ ณ จตุรัสกลางเมือง กรองด์ปลาซ ซึ่งเป็นจตุรัสที่สวยงามที่สุดในยุโรป อาคารที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมทั้ง บาโร้ค โกธิค นีโอ-โกธิค ฯลฯ

แต่ไกด์บอกว่าอย่าพี่งถ่ายรูปให้มาถ่ายรูปกับอนุเสาวรีย์เด็กฉี่อยู่ตรงหัวมุมถนนเลตูฟว์ (Rue de l’Etuve)

อนุเสาวรีย์เด็กฉี่ หรือ Manneken pis ไกด์เล่าให้ฟังว่ามีหลายตำนาน บางตำนานเล่าว่าเด็กน้อยหายตัวไปพ่อแม่จึงสร้างอนุเสาวรีย์ให้และอีกตำนานว่า ในช่วงที่กำลังเกิดสงคราม ข้าศึกกำลังจุดชนวนระเบิดกำแพงเมือง แต่หนูน้อยคนนี้ไม่ทราบมาจากไหน เดินมาฉี่รดสายชนวนจนดับ ทำให้เมืองรอดพ้นจากระเบิดไปได้อย่างหวุดหวิด เขาเลยสร้างอนุเสาวรีย์ให้

อนุเสาวรีย์เด็กฉี่

อนุเสาวรีย์นี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องถ่ายให้ได้ว่ามาถึงเบลเยียมแล้ว
เมื่อมาเห็นพวกเราก็ทำหน้าบอกไม่ถูกเพราะเด็กตัวเล็กเหลือเกิน แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้วถ่ายรูปกันดีกว่า

ที่นี่บ้านเมืองสะอาดสะอ้าน จะเห็นว่าจะมีรถทำความสะอาดอยู่ทั่วเมือง ดูแล้วสบายตา

เป็นสถานที่ซึ่งยูเนสโก้ ยกย่องให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1983 กลางลานนั้นมีพื้นที่กว้าง 110 เมตร ยาว 70 เมตร ในศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นสมัยยุคกลาง ที่นี่คือตลาดกลางเมือง มีถนน 7 สาย ทอดตัวสู่จัตุรัสกรองด์ปลาซ ถนนที่ล้อมรอบบ่งบอกถึงสินค้าที่ขาย เช่น ถนนขายเนย, ถนนขายเนื้อ ฯลฯ อาคารโดยรอบงดงามด้วยสไตล์เฟลมมิช-บาร็อค กิลด์เฮ้าส์

เมื่อถึง ค.ศ.1995 อาคารในกรองด์ ปลาซ ถูกทหารฝรั่งเศสยิงระเบิดเข้าทำลาย แก้แค้นที่ฝรั่งเศสเคยแพ้สงครามในเบลเยียมทางตอนใต้ แต่ทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันบูรณะอาคารกระทั่งกลับมาดูดีอย่างเดิม หลังจากนั้นมีการซ่อมแซมอีกหลายครั้ง จนมาถึงปัจจุบัน

จัตุรัสกรองด์ปลาซ

Town hall เป็นอาคารสไตล์โกธิค ยอดมียอดสูง 215 ฟุต จากมุมไกล

เดินเข้ามาใกล้อีกนิดก็จะเห็นความสวยงามของตัวอาคาร

Hall Town

จากนั้นเราก็เดินดูร้านขายของซึ่งตกแต่งร้านค้าอย่างสวยงาม

เบลเยียมเป็นประเทศที่ผลิตซ๊อกโกแลตขึ้นชื่อของโลก แต่ละร้านตกแต่งอย่างน่ารัก แต่ราคาก็อย่าบอกใครเช่นกัน

ร้านซ็อกโกแลต

มีซ็อกโกแลต hand made และก็ให้เราชิมด้วย ถ้าชิมครบทุกร้านคงอิ่มพอดี

ซ็อกโกแลต

มีแบบกล่องสวยๆด้วยนะ

ซ็อกโกแลต

เราเดินซื้อซ็อกโกแลตเป็นของฝากเพื่อนๆ จากนั้นเราก็รับประทานอาหารเย็นบริเวณนี้แล้วก็กลับที่พักเพื่อเดินทางไปปารีสในวันพรุ่งนี้

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here