ปราสาทปราก
วันนี้พวกเราตื่นสายหน่อย เดินทางไปยังปราสาทปรากเวลา 09.00 น วันนี้มีไกด์ชาวปรากพาชมปราสาทด้วย รถพาพวกเราผ่านสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดของโลก
สนามกีฬาสตราฮอฟ (Strahov Stadium )เป็นสนามกีฬากลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก จุคนดูได้ 240000 ที่นั่ง ปัจจบันใช้เป็นสนามซ้อมฟุตบอล และเป็นที่แสดงคอนเสริต์
สนามกีฬาสตราฮอฟ
ใช้เวลาในการเดินทางถึงปราสาทปรากประมาณครึ่งชั่วโมง
กรุงปราก (Prague) หรือ ปราฮา( Praha ) ดินแดนแห่งปราสาทร้อยยอดเป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเช็กตั้งอยู่สองฝั่ง “แม่น้ำวัลตาวา” (Vltava river) เป็นที่เมืองที่มีเนินเขาเรียงรายสลับซับซ้อนกันอยู่สองข้างฝั่งแม่น้ำถึง 7 เนินเขา
ปรากเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันหลากหลาย เช่นโรมันเนสก์ โกธิค เรเนซองส บารอค รวมทั้งศิลปะรูปแบบต่างๆ ทำให้กรุงปรากเป็นเมืองที่แสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็น มาตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมัน องค์การยูเนสโกนได้ประกาศให้ปรากเป็นมรดกโลก เมื่อ ค.ศ. 1992
ปราสาทปราก
ปราสาทปรากเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเชคสร้างขึ้นในปี ค.ศ.885 โดยเจ้าชายบริโวจความยาวประมาณ 570 เมตร และความกว้างประมาณ 130 เมตร มีเนื้อที่ใหญ่กว่าสนามฟุตบอล 7 สนามรวมกัน เป็นปราสาทสไตล์โกธิคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในประกอบด้วยโบสถ์ พระราชวังโบราณ ที่สร้างด้วยศิลปะแบบต่างๆ ตั้งแต่แบบโรมันในศตวรรษที่ 10 จนถึงตึกแบบสมัยในศตวรรษที่ 20 ปัจจุบันเป็นทำเนียบประธานาธิบดี
แนวรั้วกำแพงเข้าสู่ปราสาทปรากมีรูปปั้นใหญ่ๆเรียงราย
ปราสาทปราก
ประตูทางเข้าหลักสู่ปราสาทเหนือทางเข้าทั้งสองข้างประดับด้วยรูปปั้นขนาดใหญ่ ชื่อว่าการต่อสู้ของยักษ์ไทแทน (battling titan) ตัวหนึ่งทุบอีกคัวหนึงแทง ทำให้ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
การเปลี่ยนกะของทหารทุกชั่วโมง มีนักท่องเที่ยวรุมดูและถ่ายรูปกันมากมาย
ไกด์บอกว่าถ้าประธานาธิบดีทำงานอยู่ที่ทำเนียบจะมีธงปักที่ทำเนียบ
ทำเนียบประธานาธิบดี
เมื่อเดินเข้ามาเราก็พบกับความยิ่งใหญ่ของหหาวิหารเซนต์วิดัส
โบสถ์เซนต์ไวตุส (St.Vitus Cathedral) สูง 97 เมตร ยาว 124 เมตร โบสถ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นสร้างในสมัยของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4ในปี 1344 ในศิลปะแบบโกธิคมีการก่อสร้างเรื่อยมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จนมาเสร็จสมบูรณ์ในปี 1929
ภายในมีทั้งห้องโถงใหญ่ ห้องประกอบพิธีต่างๆ และห้องสวดมนต์มากมาย ตกแต่งด้วยภาพวาด ภาพสลัก และภาพประดับต่างๆ ละลานตาด้วยความแวววาวของสเตนกลาสสีสันสดใส สลับกับภาพวาดปูนปั้นประดับพลอยสี ทองและเงิน มหาวิหารแห่งนี้จึงเป็นศูนย์กลางอันศักดิ์สิทธิ์ของคริสตจักรตลอดรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 กระทั่งยังเป็นที่ฝังพระศพของพระองค์และยังเป็นที่เก็บมงกุฎเพชรของพระองค์ในปัจจุบันด้วย
มหาวิหารเซนต์วิตัส
มหาวิหารใหญ่มากจนเราถ่ายรูปไม่ถึง
แต่วันนี้มหาวิหาร ทำพิธีกรรมทางศาสนา ดังนั้นจึงไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมข้างใน เสียดายมาก
ไปอีกด้านหนึ่งของมหาวิหาร
มหาวิหารเซนต์วิตัส
เราเดินถ่ายรูปรอบมหาวิหารสักพัก ไกด์ก็เรียกให้พวกเราเดินเข้าไปภายในปราสาท (Old Royal Palace ) เป็นแบบโรมาเนสก์และโกธิคยุคต้นๆ สร้างตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่สิบสอง เป็นห้องโถงประชุมขุนนาง และเป็นที่ประทับของกษัตริย์โบฮีเมียและราชวงศ์ฮัมบวร์ก และเป็นห้องโถงที่ประชุมของทหาร ภายใน Old Royal Palace แบ่งเป็นสัดเป็นส่วน ทั้งส่วนที่เป็นห้องทำพิธีทางศาสนา ห้องพิพิธภัณฑ์เก็บเสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ของกษัตริย์ในยุคก่อน
Vladislav Hall
Vladislav Hall เป็นห้องโถงใหญ่สไตล์ late-Gothic กว้าง 16 เมตร ยาว 62 เมตร สูง 13 เมตร ใช้เป็นสถานที่จัดพิธีราชาภิเษก จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดี จัดงานเลี้ยงสำคัญต่างๆ หรือแม้กระทั่งเคยเป็นสนามแข่งประลองฝีมือของบรรดาอัศวินในอดีต เล่ากันว่าพวกอัศวินใช้เส้นทางนี้ ขี่ม้าเข้าเฝ้า กษัตริย์ในห้องโถง ปัจจุบันใช้เป็นที่สำหรับเลือกตั้งประธานาธิบดีของเช็ก
เก้าอี้พระที่นั่ง
จากนั้นเราก็เดินมาหยุดที่โบสถ์สีแดงสดใส
St. George’s Basilica โบสถ์สีแดงโดดเด่น สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึง เซนต์ลุดมิลา( St. Ludmila ชาวโบฮีเมียน ) โบสถ์หลังนี้ถูกเผาหลายครั้ง จนในศตวรรษที่ 18 มีการสร้างใหม่ด้วยศิลปะแบบบาร็อค ปัจจุบันใช้เป็นที่แสดงคอนเสริต์
St. George’s Basilica
ภาพพิมพ์นูนในยุคกอธิคตอนปลาย ภาพ St. George ต่อสู้กับกิ้งก่า ซึ่งกิ๊งก่าในคริสตศาสนาหมายถึงความชั่วร้าย ภาพนี้จึงหมายถึงการต่อสู้ระหว่างผู้พิทักษ์ความดีกับความชั่ว
St. George’s Basilica
ภายในเป็นห้องโถงนักบุญเนโปมุก (The Chapel of St. John of Nepomuk) ,ห้องโถงพิธีของ St. Ludmila ซึ่งตกแต่งอย่างสวยงาม
St. George’s Basilica
นักบุญลุมิลาแห่งโบฮีเมีย ( Ludmila of Bohemia) เป็นนักบุญในคริสต์ศาสนาและเป็นมรณสักขีหรือผู้พลีชีพเพื่อศาสนา เกิดเมื่อราว ค.ศ. 860 ที่เมืองเมลนิคในสาธารณรัฐเช็กปัจจุบัน และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 921 ที่ปราสาทเททิน (Tetín) ในสาธารณรัฐเช็กปัจจุบัน แต่ราวก่อนปี ค.ศ. 1100 ร่างของลุมิลาก็ถูกย้ายมาที่โบสถ์เซนต์จอร์จที่ปรากในสาธารณรัฐเช็ก
หีบบรรจุศพของนักบุญลุมิลาแห่งโบฮีเมีย ดูน่ากลัวอย่างไรก็ไม่รู้
St. George’s Basilica
St. George’s Basilica
เราเดินตามทางเรียบตึกมาเรื่อยๆก็พบกับ หมู่บ้านช่างทอง
เป็นบ้านช่างทองประจำราชสำนัก เคยเป็นกำแพงล้อมรอบปราสาทปราก แต่พอถึงคราวไฟไหม้ใหญ่ จึงมีการดัดแปลงให้กำแพงปราสาทกลายเป็นบ้านพักคนงาน ที่ได้ฉายาว่า Golden Lane เพราะเป็นที่ทดลองทำตะกั่วให้กลายเป็นทองคำของนักเล่นแร่แปรธาตุในสมัยกษัตริย์รูดอร์ฟที่ 2 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และเลิกไปในที่สุด
เราเดินพาพบกับตรอกแคบๆ แต่มากด้วยนักท่องเที่ยว แต่ละร้านเป็นร้านขายของที่ระลึกซึ่งราคาก็ค่อนข้างสูง
หมู่บ้านช่างทอง
เรามาหยุดอยู่ที่บ้านที่เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์เสื้อเกราะและอาวุธอัศวิน ที่เด่นมากคือป้ายหมูบิน มีนักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันมากมาย
หมู่บ้านช่างทอง
พวกเราขึ้นชั้น 2 ก็เห็นเสื้อเกราะอัศวินมากมาย รวมทั้งอาวุธและอุปกรณ์สำหรับอัศวิน
หมู่บ้านช่างทอง
ฝาท่อเมืองปราก ฝาท่อแต่ละเมืองจะมีลวดลายไม่เหมือนกัน ที่ปราก เป็นรูปปราสาทสามยอด กับมือถือดาบออกมาปกป้องตัวปราสาท
จากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อไปยัง Old Castle Steps ซึ่งสามารถเห็นวิวขิงเมืองปรากที่สวยงาม นอกจากนี้บริเวณนี้ยังมีนักดนตรีสีไวโอลินให้ฟัง ซึ่งเหมาะกับบรรยากาศบนนี้มาก
บรรยากาศที่บนนี้งดงามมาก อยากจะนั่งชมวิวอยู่ตรงนี้ให้นานๆ
หลังจากดื่มด่ำความงามของเมืองปรากแล้ว ก็ได้เวลาที่พวกเราจะไปต่อที่ย่าน old town พวกเราจึงนั่งรถรางสาย 22 ประมาณ 3 สถานีก็ถึงเป้าหมาย