มิวนิค

วันนี้พวกเราตื่นสายหน่อยเพราะพวกเราไปเที่ยวกันเอง พวกเรารวมกลุ่มกันเพื่อที่จะไป shopping ในย่านมาเรียนพลาตซ์ ( Marienplatz )ในมิวนิค

โรงแรมที่พวกเราพักหรูหราสมกับกับเป็นโรงแรมในสนามบินมิวนิคจริงๆ

โรงแรม kempinski

เดินออกจากโรงแรมก็เห็น kios ร้านกาแฟโดยเอารถมาต่อเติมเลียนแบบเครื่องบิน เก๋ไปอีกแบบ

พวกเราเดินไปยังรถไฟใต้ดินสถานีสนามบิน เรานั่งสาย S8 หรือ S1 แต่ สาย S1 อ้อมกว่า ค่าโดยสารเหมาจ่ายจนถึงเที่ยงคืนคนละ 8 ยูโรหรือ 5 คน 18 ยูโร

เราสามารถซื้อตั๋วรถไฟที่ตู้หยอดเหรียญนี้ได้เลย จะมีเจ้าหน้าที่ให้คำอธิบายให้พวกเรา

ตู้หยอดเหรียญ

พวกเราก็ขึ้นสาย S1เนื่องจากว่าสาย S1มาถึงพอดี ถ้ารอ S8 ต้องใช้เวลาอีก 15 นาทีถึงจะขึ้นรถไฟ

รถไฟใต้ดิน

ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 50 นาที เราลงที่สถานี Karlsplatz เพราะใกล้สุดและสามารถเดินชมน้ำพุที่จตุรัสได้อีก

แผนที่รถไฟใต้ดิน

มิวนิก (Munich) เป็นเมืองที่อยู่ทางใต้ของประเทศเยอรมนี และเป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย ( Bavaria)และเมืองหลวงแห่งเบียร์ของยุโรปเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ (รองจากเบอร์ลินและฮัมบูร์ก) และเป็นหนึ่งในเมืองมั่งคั่งที่สุดของยุโรป มิวนิคได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวยศิลปและสถาปัตยกรรมสไตร์บารอกและเรเนซองส์ ตัวเมืองมีประชากร 1.6 ล้านคน (ข้อมูลปี 2549) และ 2.7 ล้านคนในเขตเมือง ตั้งอยู่บนแม่น้ำอีซาร์ เหนือเทือกเขาแอลป์

เราลงมาที่สถานี Karlsplatz ซึ่งมีจตุรัส Karlsplatz หรือ Stachus เป็นจตุรัสขนาดใหญ่ เป็นศุนย์กลางของมิวนิค ถูกนำมาปรับปรุงใหม่ในปี 1960 บริเวณนี้มีน้ำพุเป็นจุดเด่นและเห็น Justizpalast (Palace of Justice)ศาลยุติธรรมที่ดูหรูหราอลังการ

Justizpalast (Palace of Justice) สร้างในปี 1890 โดยสถาปนิก Friedrich von Thiersch ในสไตล์นีโอบาร็อค (neo-baroque)

เราลงจากรถไฟใต้ดินมาขึ้นบริเวณนี้ ก็เห็นลานน้ำพุพอดี แต่วันนี้น้ำพุไม่เปิด

Justizpalast

ด้านข้างจตุรัสเราจะเห็นถนนคนเดินพวกเราเดินมายังป้อมปราการ Karlstor

ป้อมปราการ Karlstor ( city gate ) สร้างขึ้นค.ศ.1285 ใช้เวลาสร้าง 62 ปี แต่เดิมมี 3 หอคอยแต่หอคอยตรงกลางที่สูงที่สุดถูกทำลายลงในปี 1857 จึงมีการบูรณะ 2 หอคอยที่เหลือในปี 1861 ซึ่งถูกออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลี Domenico Zanetti ศิลปะสไตล์นีโอโกธิค (neo-gothic )

Karlstor

เราเดินผ่านป้อมปราการนี้เพื่อไปยังย่านมาเรียนพลาตซ์ ( Marienplatz ) ผ่าน ถนน neuhauser street ที่มีร้านค้าแบรนด์เนมเรียงรายกันมากมาย ทั้ง 2 ข้าง

Burgersaal Church สร้างตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพื่อเป็นที่ชุมนุมประกอบพิธีกรรมของชาวคริสต์กลุ่ม Marian congregation ( เป็นแขนงหนึ่งของนิกายเยซูอิต ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1563 ) ชั้นใต้ดินของโบสถ์นี้เป็นที่ฝังศพบาทหลวง Rupert Mayer ท่านเป็นผู้ที่ต่อต้านนาซีในสมัยนั้นจนถูกส่งตัวไปค่ายกักกันจนเสียชีวิตในปีค.ศ. 1945 และท่านได้รับการตั้งเป็นนักบุญในปีค.ศ. 1987

Burgersaal Church

รูปปั้นภายในโบสถ์

St. Michael’s Church (โบสถ์เซ็นต์ไมเคิล ) ศิลปะสไตล์เรเนซองส์ สร้างโดย Elector Wilhelm V the Pious ดยุคของบาวาเรีย ระหว่าง ค.ศ. 1583 และ 1597 ชั้นห้องใต้ดินของโบสถ์แห่งนี้เป็นที่ฝังพระศพสมาชิกราชวงศ์ Wittelsbach หลายพระองค์ รวมทั้งพระเจ้าลุดวิกที่ 2 ผู้สร้างปราสาท Neuschwanstein ( ครองราชย์ ค.ศ. 1864 – ค.ศ. 1886 ) ถูกทำลายในสงครามโลกครั้งที่ 2 บูรณะขึ้นมาใหม่ในปี 1948

โบสถ์กำลังอยู่ระหว่างการบูรณะอยู่

St. Michael’s Church

โบสถ์ประดับอย่างสวยงาม

แท่นบูชา

Frauenkirche เป็นโบสถ์ Gothic ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเยอรมนีตอนใต้ และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมิวนิค ยอดเป็นทรงหัวหอมคู่ สร้างด้วยอิฐสีแดงและสูงถึง 99 เมตร สร้างเสร็จในปีค.ศ. 1488 มีห้องใต้ดินของโบสถ์เป็นที่ฝังพระศพของสมาขิกราชวงศ์ Wittelsbach หลายพระองค์ แต่ถูกทำลายย่อยยับในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับการบูรณะในปี ค.ศ. 1953 ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดชมในโบสถ์คือ แท่นบูชาที่ตกแต่งอย่างหรูหรา โออ่า และรอยเท้าปีศาจ ( Devil’s Footstep) หน้าโถงทางเข้า

นักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปถึงข้างบนจะได้ชื่นชมกับวิวโดยรอบของเมืองมิวนิค

โบสถ์กำลังก่อสร้างอยู่เช่นกัน กำลังซ่อมโดมข้างหนึ่งอยู่พอดี

Frauenkirche

อนุสาวรีย์โลงศพของพระเจ้าหลุยส์ที่ 4

พระเจ้าหลุยส์ที่ 4 เป็นกษัตริย์ของเยอรมัน ในค.ศ. 1314 และกษัตริย์ของอิตาลีในปี 1327 และพระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิ์ของอาณาจักรโรมันในปี 1328

รอยเท้าปีศาจ ( Devil’s Footstep) บริเวณทางเข้าในตำนานกล่าวว่าเมื่อปีศาจเข้ามาในโบสถ์ไม่เห็นหน้าต่างจึงกระทืบเท้าด้วยความดีใจ จนเป็นรอยเท้าอย่างที่เห็นและอีกตำนานกล่าวว่า ปีศาจได้ให้ผู้ที่ก่อสร้างโบสถ์ยืมเงิน เพื่อก่อสร้างวิหารแต่มีเงื่อนไขว่าต้องไม่มีหน้าต่าง เมื่อสร้างเสร็จเขาพาปีศาจไปยืนยังจุดที่ไม่เห็นหน้าต่างแม้แต่บานเดียว ปรากฎว่าปีศาจโกรธมากที่ถูกหลอกจึงกระทืบเท้าออกไปด้วยความโกรธ จึงปรากฎรอยเท้าขี้น

Devil’s Footstep

Marienplatz (Mary’s Square) ตั้งชื่อตามรูปปั้นพระแม่มารีสีทองที่อยู่บนเสา สูงที่ตั้งตระหง่านกลางจัตุรัสมาตั้งแต่ปี 1638 เพื่อเป็นการขอบคุณเซนต์แมรี่ นักบุญแห่งแคว้นบาวาเรียที่ช่วยให้มิวนิคหลุดพ้นจากการครอบครองของกองทัพสวีเดน เป็นศูนย์กลางของเขตเมืองเก่า เป็นแหล่งนัดพบและสังสรรค์กัน

Marienplatz

ศาลาว่าการเมืองหลังใหม่ ( Neues Rathaus หรือ New town hall ) เป็นศิลปะแบบนีโอโกธิค ( Neo-Gothic ) สร้างในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยพระเจ้าลุดวิกที่ 1 มีบัญชาให้สร้างขึ้นในรูปแบบศิลปะสไตล์ ด้านหน้าของศาลาว่าการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยรูปสลักของกษัตริย์ เจ้านายในราชวงศ์ ขุนนาง บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์และนักบุญ ด้านบนประตูโค้งทางเข้ามีตราประจำเมืองมิวนิคสลักไว้ ตอนกลางของศาลาเป็นหอนาฬิกาสูง 80 เมตร

Neues Rathaus

หอนาฬิกา Glockenspiel หอนาฬิกาสูง 85 เมตร มีระฆัง 43ใบ มี 2 ชั้น ชั้นแรกเป็นพาเหรดของอัศวินเพื่อเฉลิมฉลองพระราชพิธีสมรสของกษัตริย์พระองค์หนึ่งในอดีต มีอัศวินขี่ม้าออกมาดวลกันส่วนอีกสองชั้นเป็นการเต้นรำเพื่อเฉลิมฉลองที่ชาวเมืองมีชีวิตรอดจากโรคระบาดในปี ค.ศ.1517 แต่ละวันจะมีตุ๊กตา 32 ตัว ออกมาเต้นระบำเวลา 11 น.และ12น. ในหน้าร้อนจะเพิ่มรอบ 5 โมงเย็นอีกหนึ่งรอบ

หอนาฬิกา

เสาพระแม่มารี ( Mariensaule ; St Mary’s Column ) สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1638 สมัยเจ้าชาย Elector Maximilian I เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงความขอบคุณแด่พระแม่มารีที่ปกป้องไม่ให้เมืองถูกทำลายในสมัยสงครามสามสิบปี ( The Thirty Years’ War ; ค.ศ. 1618 – 1648 )

เสาพระแม่มารี

พระแม่มารี

เราเดินเที่ยวชมไปและ shopping ไปด้วย

เราผ่านร้านค้ามากมาย บริเวณนี้มีสินค้าแบรนด์เนมมากมาย เช่น esprit ZARA HMT, Beneton, louis vuitton, swarowsky มีเสื้อผ้า รองเท้า ,กระเป๋า , นาฬิกา และอื่นๆอีก โดยเฉพาะวิตามิน ราคาถูกมากเราจึงซื้อเป็นของฝากซะเลย ที่นี่ tax refundสูงสุด 19%

ศาลาว่าการเมืองหลังเดิม ( Altes Rathaus or Old town hall )สร้างขึ้นในปี 1480 โดย Jorg von Halsbach (คนเดียวกับที่สร้างโบสถ์ Frauenkirche ) ศาลานี้ได้ผ่านการบูรณะหลายครั้ง แบบที่เห็นในปัจจุบันเป็นศิลปะ Neo-Gothic ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองศาลาว่าการเมืองหลังเดิมถูกทำลายเสียหายเกือบหมด หอคอยสูงทางด้านขวาที่ติดกับศาลาว่าการได้รับการบูรณะในปีค.ศ. 1975 ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ของเล่น ( Spielzeugmuseum or Toy museum )

Altes Rathaus

ด้านหลังของศาลาว่าการเดิมเป็นตลาดกลางแจ้ง Viktualienmarkt

Viktualienmarkt เป็นตลาดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของเมือง มีอายุประมาณ 200 ปี มีพื้นที่ 22000 ตารางเมตร มีอาหารมากมายขาย ทั้งผัก ผลไม้ ดอกไม้ ขาหมูเยอรมัน ไส้กรอกเยอรมัน เนื้อ ชีส เครื่องเทศ ๆลๆ

มีร้านขายของมากมายโดยเฉพาะร้านขาหมูเยอรมันและไส้กรอกเยอรมัน

บริเวณนี้เป็นที่นั่งกินเบียร์แกล้มกับขาหมูเยอรมัน เรานั่งกินขาหมูกับไส้กรอกบริเวณนี้ด้วย อร่อยดี

ลานเบียร์

ร้านขายขาหมู

เรียงรายหลายร้านจนเลือกไม่ถูกเลยว่าจะซื้อร้านไหนดี

ร้านขายไวน์

Isar gate ป้อมปราการของเมืองสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1285-1347 แต่เดิม munich ถูกล้อมด้วยประตู 4 ด้าน เป็นหนึ่งในสามของประตูด้านฝั่งตะวันออกที่ยังหลงเหลืออยู่ ตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟใต้ดิน Isartor

Isar gate

พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของโลก ก่อตั้งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1903 มีผู้เข้าเยี่ยมชมมากกว่า 1.5 ล้านคนต่อปี ภายในแบ่งเป็น 50 สาขา โดยจัดแสดงเรือใบ เรือดำน้ำ รถไฟ เครื่องบิน และเครื่องดนตรี และยังมากมายด้วยอินเตอร์แอคทีฟดิสเพลย์ที่ให้ผู้ชมโดยเฉพาะเด็ก ๆ มีส่วนในการสาธิตได้อย่างแสนสนุกตั้งอยู่ที่ Museumsinsel 1 เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-17.00 น. ค่าเข้าชม 7.50 ยูโร

Deutsches Museum

เราเดินตรงไปเรื่อยๆก็พบ Mueller’s Public Baths

Mueller’s Public Baths หรือ ห้องอาบน้ำสาธารณะโดยเศรษฐีผู้ใจดี ชื่อ Carl Mueller เป็นผู้บริจาคให้กับทางรัฐบาลโดยยกมรดกบ้าน 5 หลังมีมูลค่าเทียบเท่ากับทองคำ 1.8 ล้านมาร์ค สร้างเป็นห้องอาบน้ำที่มีสระว่ายน้ำอยู่ภายในออกแบบโดย Karl Hocheder ในค.ศ.1897-1901 ศิลปะสไตล์ south german baroque และ Art Nouveau

Mueller’s Public Baths

เราเดินทางกลับไปที่สนามบินมิวนิคโดยนั่งรถไฟใต้ดินที่สถานี Rosenheimer Platz ใช้เวลาในการเดินทาง 30 นาทีเราก็มาถึงสนามบินพอดีจากนั้นพวกเราก็ไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้กับโรงแรมและขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางต่อไปยังมิลานรถขับผ่าน alliance arena

Allianz Arena

สนามฟุตบอลอลิอันซ์-อรีนา (Allianz-Arena) มีรูปร่างคล้ายยางรถยนต์ สร้างขึ้นในปี 2005 เพื่อรองรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 มีความจุ 66000 ที่นั่ง หลังการแข่งขัน กลายเป็นสนามฟุตบอลของสองทีมฟุตบอลร่วมเมือง คือทีมดังอย่างบาเยิร์นมิวนิก (FC Bayern München) กับอีกทีมคือทีม 1860 มิวนิก (TSV 1860 München) ถ้ามีการแข่งขันตอนกลางคืน สนามจะสามารถเปลี่ยนสีได้ เช่น ถ้าBayern Munich แข่งสนามก็จะเป็นสีแดง ถ้าเป็น 1860 Munich สนามก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน ส่วนถ้าเป็นทีมชาติเยอรมันก็จะเป็นสีขาว

พวกเรานั่งรถแบบมาราธอนมากๆกว่าจะถึงมิลานใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมงเรานอนหลับตลอดคงเพราะเหนื่อยมาก

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here