นครรัฐวาติกัน
28 พฤษภาคม 2557
เช้านี้เราออกจากโรงแรม 08.00 น โรงแรมอยู่ห่างจากนครรัฐวาติกัน 10 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 20 นาที
นครรัฐวาติกัน เป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลก มีพื้นที่เพียง 0.44 ตารางกิโลเมตร (250 ไร่ )ตั้งอยู่ภายในกรุงโรม ของประเทศอิตาลี อาณาเขตของนครรัฐวาติกันนั้น ประกอบไปด้วยวังวาติกัน ซึ่งหมายรวมถึงมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ พิพิธภัณฑ์วาติกัน หอสมุดวาติกัน และที่ประทับของพระสันตะปาปา นอกจากนั้นก็ยังมีวังกัสเตลกันดอลโฟ (Castelgandolfo) ซึ่งเป็นที่ประทับร้อน ตั้งอยู่นอกชานกรุงโรมไปทางทิศใต้ มหาวิทยาลัย Gregorian และโบสถ์ 13 แห่งในกรุงโรม เฉพาะวังวาติกันมีเนื้อที่ 150 ไร่ ซึ่งรวมวิหารเซนต์ปีเตอร์ พิพิธภัณฑ์วาติกัน หอสมุดวาติกัน ภายในบริเวณดังกล่าวยังมีอุทยานวาติกันอันงดงาม มีสถานีวิทยุของวาติกัน มีที่ทำการไปรษณีย์วาติกัน สถานีรถไฟวาติกัน ธนาคารวาติกัน คุก และร้านค้าปลอดภาษีทุกชนิด
โปรแกรมวันนี้พวกเราเที่ยวชมตามหมายเลขสีน้ำเงิน โดยเริ่มที่พิพิธภัณฑ์วาติกัน, Sistine Chapel ,มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ และ St. peter’s square ใช้เวลาในการชม 3 ชั่วโมง
นครวาติกันถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสันตะปาปา ประมุขสูงสุดของศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก และเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในนครรัฐวาติกัน ทั้งทางด้านนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ โดยสมเด็จพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันคือ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (Francis) เป็นชาวอาเจนติน่า ซึ่งทรงได้รับเลือกตั้งและทรงเข้าพิธีรับตำแหน่งเมื่อ12 มีนาคม พ.ศ. 2556
คนเชื้อชาติวาติกันไม่มีในโลก มีแต่พลเมืองสัญชาติวาติกัน นครรัฐวาติกันมีพลเมืองประมาณ 900 คน ประมาณ 200 คนเป็นสตรี และมีคนทำงานในนครวาติกัน 1,300 คน พลเมืองอันประกอบด้วยองค์สันตะปาปา คาร์ดินัล ผู้ปกครองนครรัฐ วาติกัน เจ้าหน้าที่ประจำวาติกัน และทหารสวิส
การเข้าชมพิพิธภัณฑ์เปิดเข้าชมวันจันทร์- เสาร์ซื้อตั๋วได้เวลา 09.00 – 16.00เข้าชมได้ถึง 18.00 หยุดวันอาทิตย์ ยกเว้นวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนเปิดให้เข้าชมฟรี09.00 – 12.30 เข้าชมได้ถึง 14.00 ในวันอาทิตย์และวันพุธตอนบ่ายองค์โป๊ปจะมาให้พร คนจะเยอะมามาก ดังนั้นนักท่องเที่ยวจะหนีมาเที่ยววันจันทร์กับวันพฤหัสกันเยอะ
วันที่พวกเรามาเที่ยวชมเป็นวันพฤหัสพอดี ดังนั้นพอลงจากรถมาเราก็ได้เห็นผู้คนจำนวนมากรอเข้าชม
พิพิธภัณฑ์วาติกัน มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีห้องจำนวน 1,400 ห้อง ทางเดินความยาว 14.5 กิโลเมตร แบ่งเป็นห้องต่างๆเช่นEgyptian rooms, Octagonal Courtyard, Etruscan wing, Raphael rooms, Sistine Chapel มีการแสดงศิลปะที่สะสมงาน จิตรกรรม, จิตรกรรมฝาผนัง, ประติมากรรม, แผนที่ และอื่นๆอีกมากมาย จัดแสดงตามช่วงเวลาตามยุคของคริสต์ศาสนา ตั้งแต่สมัย Greek & Roman จนมาถึง Early Christian
ก่อนเข้าไปชมทุกคนจะได้รับหูฟัง เพื่อให้ไกด์จึงบรรยายผ่านหูฟังให้เรา เหตุผลที่ใช้หูฟังเพราะในการเข้าชมห้ามส่งเสียงหรือทำเสียงดัง
หลังจากเข้ามาภายในไกด์ได้พาเราเข้าไปชม ภาพบันไดวน (Spiral Staircase) ก่อน
ภาพบันไดวน (Spiral Staircase) ออกแบบโดย Giuseppe Momo ในปี 1932 โดยแยกเป็นสองเกลียว อันหนึ่งจะทางขึ้นและอีกอันจะเป็นทางลง และมาหมุนรวมกันเป็นเกลียวเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่แทนถึงชีวิตเหมือนเกลียว DNA
เราเดินออกมาบริเวณ Cortile della Pigna ลานกว้างเพื่อเข้าชมส่วนต่อไป
มองเห็นลูกโลกสีทองขนาดใหญ่สะดุดตามาก เป็นศิลปะร่วมสมัย ชื่องานว่า “Sphere Within Sphere” ของ Arnaldo Pomodoro
เราเดินไปยัง Gallery of Busts เป็นห้องที่รวบรวมรูปปั้นกับหัวของรูปปั้นเก่า ๆ สมัยโรมันไว้
ดูจากบรรยากาศก็รู้ว่าแทบไม่ได้เดินเลย คือไหลตามกันไป
การตกแต่งทั้งกำแพงและเพดานช่างวิจิตรงดงาม
จากนั้นเราก็เดินมาทางOctagonal Courtyard ที่มีปฏิมากรรมรูปปั้นสวย ๆ อยู่ เช่น The Belvedere Apollo , River God (Arno), Laocoon
ปฏิมากรรมหินอ่อนของ เลออโคออนและบุตร ( Laocoon and His Sons) ตำนานกรีกโบราณเล่าว่า Laocoon นักบวชแห่งกรุงทรอย พยายามเตือนชาวเมือง Troy ไม่ให้เปิดประตูรับม้าโทรจัน (Trojan Horse) ม้าไม้ขนาดยักษ์ที่ซ่อนทหารกรีกเป็นกองทัพไว้ด้านใน เทพีอเธน่าซึ่งเป็นเทพีอุปถัมภ์ของชาวกรีกเกรงว่า Laocoon จะทำเสียแผน จึงส่งงูทะเลยักษ์มาจัดการเขาและลูกชาย
เป็นปฏิมากรรมที่เต็มไปด้วยแอ็คชั่นทรงพลัง สีหน้าที่แสดงอารมณ์เจ็บปวดอย่างสมจริง จนเป็นที่ชื่นชอบของไมเคิลแอลเจลโล่
Laocoon and His Sons
The Belvedere Apollo รูปสลักหินอ่อนของอพอลโล สูง 2.24เมตร พระองค์ทรงถูกยกย่องให้เป็นสุริยเทพของชาวกรีก สันนิษฐานกันว่า รูปปั้นต้นแบบปั้นขึ้นโดยชาวเอเธนส์นามว่า ลีโอคาเรส (Leochares) ซึ่งท่านเป็นศิลปินในสำนักของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เมื่อสมัย 320 ปีก่อนคริสตกาล
ไม่รู้ใครมาแอบจับมือเทพอพอลโล จนนิ้วหายไปเลย
The Belvedere Apollo
เป็นปฏิมากรรมที่ดูสวยงามมาก
River god (Arno)
จากนั้นเราก็เดินมายัง Sala Rotunda (Round Hall) เป็นแบบจำลองย่อส่วนของวิหาร Pantheon โดมสวยมาก
รูปปั้นสัมฤทธิ์ตรงกลางเป็นเฮอร์คิวลิสผู้แข็งแรง
Round Hall
เฮอร์คิวลิส (Hercules) เป็นเทพเจ้ากรีกองค์หนึ่ง รูปปั้นเฮอร์คิวลีสเป็นศิลปะของโรมันและเรอเนซองส์ เฮอร์คิวลีสจะเป็นผู้ที่มีผิวคล้ำแดดเป็นการแสดงว่าเป็นผู้สมบุกสมบันจากกิจการต่างที่ต้องทำกลางแจ้ง เขาเป็นตัวอย่างของความเป็นบุรุษที่มีความแข็งแรง ความกล้าหาญ
แต่ละห้องล้วนงดงามทั้งนั้น
Hall of the Chariot
มาที่นี่แหงนคอจนเมื่อย เพดานล้วนงดงามจริงๆ
กุญแขไขว้เป็นตราประจำ Vatican City กูญแจสีเงินและสีทองสองดอกไข้วกันหมายถึงกุญแจของนักบุญเปรโตร ตามตำนานกล่าวว่าเป็นกุญแจเปิดเข้าสู่แดนสวรรค์ที่พระเยซูทรงมอบให้แก่นักบุญเปรโตร ส่วนมงกุฎบนธงหมายถึงมงกุฎของโป๊ป ซึ่งเราจะเห็นสัญญลักษณ์นี้ตลอดในวาติกัน และเมื่อมองเพดานก็ยังเห็นรูปกุญแจไขว้อยู่ด้วย
เทพผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง และการให้ลูก ที่รอบอกจะมีลูก ๆ ห้อยเต็มไปหมด จนมีชื่อเรียกเล่น ๆ ว่าแม่ลูกดก ว่ากันว่าลูก ๆ ที่เห็นคืออัณฑะวัวที่เอามาแขวนเพื่อขอลูก แต่อีกตำนานหนึ่งบอกว่าเทพีอาร์เตมิสเป็นแฝดผู้พี่ของเทพอพอลโล และช่วยแม่คลอดน้องชาย เธอจึงได้รับการยกย่องให้เป็นเทพีผู้คุ้มครองหญิงมีครรภ์และการให้กำเนิดบุตร นี่อาจจะเป็นที่มาของการขอลูกก็ได้
Artemis of Ephesus
ห้องพรม (Tapestries ) ซึ่งภาพวาดโดยลูกศิษย์ของราฟาเอลเเละให้ช่างทอชาวเฟรมมิชทำเป็นพรมขึ้นในบรัสเซลในช่วงปี 1523-1534
ภาพที่แสดงนั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา
ดูแล้วเหมือนภาพวาดมาก
เราเดินต่อไปยังห้องแกลเลอรี่แผนที่(The Gallery of Maps)เป็นแกลเลอรี่ในพิพิธภัณฑ์วาติกันที่มีภาพวาดแผนที่ขนาดใหญ่ของอิตาลีและแว่นแคว้นใกล้เคียง วาดจากแผนที่ของนักภูมิศาสตร์ในระหว่างปีคศ 1580-1583จำนวน40ช่อง(Panel) รวมเป็นระยะทางประมาณ 120เมตร จัดเป็นห้องที่ใช้ทำการศึกษาภูมิศาสตร์ด้วยภาพที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เป็นอีกห้องหนึ่งที่มีเพดานสวยมาก คนก็ยังคงเยอะมาก
มองชัดๆเพดานสวยมาก จนกระทั่งเราคิดว่าจะชมเพดานหรือแผนที่กันแน่
รูปนี้เป็นแผนที่ประเทศอิตาลี่ แต่ด้วยจำนวนคนที่เยอะมากจึงถ่ายไม่ถึง
เราเดินออกมาอีกห้อง
The Last Supper ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo da Vinci) ที่ลูกศิษย์ของราฟาเอลเป็นคนวาด ถ้าจะชมของจริงอยู่ที่ ที่เมืองมิลานในพิพิธภัณฑ์ของโบสถ์ Santa Maria del Grazie
และเราก็เดินมายังห้องราฟาเอล(Raphael’s Rooms) เทคนิคfresco (ภาพปูนเปียก)
ราฟาเอลเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงในยุครุ่งเรืองของ Renaissance ห้องของราฟาเอลนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Papal Apartment ประกอบไปด้วย 4 ห้อง คือ
1) Room of Constantine
2) Room of Heliodorus
3) Room of the Segnatura
4) Room of the Fire in the Borgo
ภาพส่วนใหญ่จะเป็นฝีมือวาดภาพของราฟาเอล ผู้ซึ่งวาดภาพนี้ในวัยหนุ่มเพียง 27 ปี เขาใช้เวลาทั้งหมดในการวาดภาพร่วม 2 ปี กล่าวคือในระหว่าง ค.ศ. 1509 ถึง ค.ศ. 1511 นับเป็นผลงานชุดแรกที่ราฟาเอลได้แสดงฝีมือในโรม เป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ของชาวคริสต์ แต่ก็มีที่ลูกศิษย์วาดต่อหลังจากราฟาเอลเสียชีวิตแล้วด้วย โดยห้องที่มีชื่อเสียงที่สุดคือห้องที่ ซี่งมีภาพ The School of Athens (Room of the Segnatura)
Raphael’s Rooms เพดานสวยมาก
โรงเรียนแห่งเอเธนส์(The School of Athens )แสดงถึงเหล่านักปรัชญา , กวี , ศิลปิน , นักคิดและนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของกรีก เขาวาดแสดงเป็นรูปของเพลโต, อริสโตเติล, โซเครติส, ยุคลิค, ปโตเลมี, ไฟเธกอรัส ฯลฯ ผู้เชี่ยวชาญสามารถระบุได้แน่นอนแต่เพียงภาพของเพลโตเเละอริสโตเติล( เพลโตคนที่ยืนตรงกลางผ้าคลุมแดง ส่วนอริสโตเติลผ้าคลุมฟ้า ) ส่วนคนอื่นๆนั้นล้วนเกิดจากการคาดคะแน โดย ราฟาเอลใช้ Leonardo da Vinci ไอดอลในดวงใจ มาเป็นต้นแบบของเพลโต
ในภาพ เพลโตถือหนังสือเรื่อง Timaeus ซึ่งเป็นงานที่เล่าเรื่องว่าโลกกำเนิดมาได้อย่างไร และสิ่งต่างๆในโลกเกิดจากแบบได้อย่างไร ส่วนอริสโตเติลถือหนังสือเรื่อง Nicomachean Ethics ซึ่งว่าด้วยชีวิตที่ดีสำหรับโลกนี้
จะสังเกตุเห็นได้ว่า เพลโตกำลังชี้นิ้วขึ้นไปที่สวรรค์ อันเป็นการอุปมาถึงความรู้ที่มาจากกระบวนการคิดและจินตนาการในขณะที่ อริสโตเติลชี้นิ้วลง ซึ่งหมายถึงความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่มาจากธรรมชาตินั่นเอง
ราฟาเอลแอบแทรกภาพเหมือนของตนลงไปในรูปด้วย ซึ่งก็คือหนุ่มเสื้อแดงสวมหมวกสีดำที่มองออกมา อยู่ขวาสุดของภาพ
ฝั่งตรงข้ามกับ The School of Athens ก็เป็นภาพ La Disputa ซึ่งสวยงามไม่แพ้กันเลยค่ะ
ภาพ La Disputa เป็นการปุฉาวิสัชนาเรื่องของศีลศักดิ์สิทธิ์
Raphael’s Rooms
เพื่อทำเวลาเรารีบเดินต่อไปยัง Sistine Chapel ทางโบสถ์ซิสตินไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป
Sistine Chapel วิหารซิสติน หรือโบสถ์น้อยซิสตินที่มีมีความสำคัญในการเป็นสถานที่ทำการประชุมเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ภายในหอสวดมนตร์ซิสตินนั้นมีผลงานศิลปะล้ำค่าคือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ใช้เทคนิคfresco (ภาพปูนเปียก) โดยมีภาพวาดทั้งบนเพดานและบนผนังของโบสถ์ ครอบคลุมพื้นที่ 10,000 ตารางฟุต หรือ 930 ตารางเมตร โดยฝีมือของ ไมเคิล แองเจิลโล
หลังจากเขียนภาพบนเพดาน 10ปี ไมเคลแองเจโลก็ได้วาดภาพที่มีขนาดใหญ่มากและครอบคลุม พื้นที่กำแพงทั้งหมดที่อยู่หลังแท่นบูชาในโบสถ์ เป็นภาพการพิพากษาครั้งสุดท้าย (The Last Judgment) ใช้เวลาในการวาดถึง 6 ปี
ภาพบนเพดานชุดกำเนิดอดัม (The Creation of Adam) มี ฉากเก้าฉากจากพระธรรมปฐมกาลของศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างโลกของพระเจ้า จนไปถึงตอนที่น้ำท่วมโลก ใช้เวลาถึง 4 ปีในการวาด
ว่ากันว่าในเวลาเขาต้องเขียนรูปเขาต้องทำงานอยู่บนนั่งร้านที่สูงถึง 60 ฟุต หรือ 18 เมตรจากพื้น ในท่านอนให้หลังแนบติดกับนั่งร้านจนเป็นตะคริวทุกๆวัน
รูปแรกเป็นรูปมือของพระเจ้ามีส่วนนิ้วชี้ๆออกมานิดๆเกือบจะสัมผัสกับมือของอดัม มนุษย์คนแรก
ออกจากโบสถ์มาพวกเราก็เข้าไปดูมหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ ต่อไป
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ( Saint Peter’s Basilica)สร้างทับมหาวิหารเดิมนี้เปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1626 สามารถจุคนได้กว่า 60,000 คน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นศาสนสถานที่ดำรงความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในนิกายคาทอลิก ปัจจุบันเป็นที่พำนักประจำตำแหน่งของพระสันตะปาปา
วิหารนี้มีศิลปินผู้ออกแบบควบคุมงานก่อสร้างและลงมือตกแต่งด้วยตนเอง ต่อเนื่องกันหลายคน เช่น โดนาโต บรามันโต (Donato Bramante ค.ศ. 1440 – 1514) ราฟาเอล (Raphel ค.ศ. 1483 – 1520) ไมเคิล แองเจลโล (Michel Angelo ค.ศ. 1475 – 1564) และ โจวันนิ เบอร์นินี (Giovanni Bernini ค.ศ. 1598 – 1680)
นักบุญปีเตอร์ (St. Peter ) เป็นหนึ่งในสาวก 12 คนของพระเยซู และยังเป็นเป็นผู้นำสาวก ตามตำนานหลังจากพระเยซูสวรรคตแล้ว St. Peter ก็เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาที่กรุงโรม และท่านก็ทำให้ชาวโรมันหันมานับถือคริสต์มากมาย แต่เนื่องจากสมัยนั้นชาวโรมันยังนับถือเทพเจ้าอยู่ ชาวคริสต์เลยโดนทหารโรมันรวมถึง St. Peter เองก็ยังโดนทหารโรมันจับตรึงกางเขนตาย นิกายโรมันคาทอลิกเชื่อกันว่าร่างของ St. Peter ถูกฝังไว้ที่นี่จึงนับเป็นสันตะปาปาองค์แรก และเป็นประเพณีกันต่อมาว่าพระสันตะปาปาหลายองค์ก็ฝังไว้ที่วิหารนี้
เมื่อเดินเข้ามาก็เห็นความอลังการและตกแต่งที่สวยงามของมหาวิหารแห่งนี้
Saint Peter’s Basilica
จากนั้นเราเดินไปชมปีเอต้า
ปีเอต้า (Pieta) ประติมากรรมหินอ่อนขนาดสูง 5 ฟุต 9 นิ้ว รูปพระแม่มาเรียประทับนั่งบนแท่นหิน บนตักมีพระศพของพระเยซูที่ถูกนำลงจากไม้กางเขนพาดอยู่บนตัก เป็นประติมากรรมแกะสลักฝีมือของไมเคิลแอลเจลโล ใช้เวลาสร้างถึง 7 ปี ในขณะที่เขามีอายุเพียง 25 ปีเท่านั้น
Pieta ยังเป็นผลงานชิ้นเดียวที่ไมเคลแองเจโลทิ้งลายเซ็นต์ไว้ ตรงสายสะพายพระแม่มารี ซึ่งเขียนว่า Michael Angelus Buonarotus of Florecen made this จะเห็นรอยยับย่นของเสื้อผ้าดูพริ้วไหว เป็นรูปปั้นที่ดูสวยสง่าราวกับมีชีวิต
เมื่อเข้ามาด้านในจะเห็นซุ้ม Baldachin ที่โดดเด่นแต่ไกล เป็นผลงานของ แบร์นินี( Bernini )ประติมากรและสถาปนิกของอิตาลี่ ด้านบนเป็นโดมตกแต่งสวยงามโดยฝีมือการออกแบบของไมเคิลแอลเจลโล
Baldachin งานทองสำริดที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่เหนือจุดที่เป็นที่ฝังพระศพของนักบุญปีเตอร์แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหน้าต่างหินอะลาบาสเตอร์เข้ามาทำให้แท่นบูชานี้เด่นขึ้นมา
มีรูปหล่อทองเหลืองของนักบุญเซนต์ปีเตอร์ที่มีผู้คนไปลูบเท้าขอพรกันเป็นจำนวนมาก
St. Peter
ภายในวิหารตกแต่งอย่างสวยงามและยังมีมีรูปปั้นสลักหินอ่อนฝีมือแบร์นินีมากมายและมีภาพโมเสกที่สวยงามอยู่บนหลังคา
มีจุดชมวิวจากยอดโดมของไมเคลแองเจลโลเพื่อชมวิวของกรุงวาติกันและโรม มีทั้งขึ้นลิฟท์และเดินขึ้นไปโดยเดินขึ้นบันไดขึ้นไป 491 ขั้น แต่ถ้าขึ้นลิฟท์ก็ต้องเดินอีก 300 ขั้น ด้วยเวลาที่จำกัดพวกเราจึงไม่ได้ขึ้นไปชมวิวด้านบน
เราออกมาทางSt.Peter’s Square จตุรัสที่อยู่ด้านหน้าโบสถ์ St. Peter เป็นจตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี่มีความยาว 314 เมตร กว้าง 240 เมตร เห็นเสาโอบิลิสก์ (Obelisk) นำมาจากอียิปต์ สูง 27 เมตร หนัก 300 ตัน ตั้งอย่างโดดเด่น มองออกไปเห็นลานที่สวยงาม และกว้างใหญ่มาก
จัตุรัสแห่งนี้โอบล้อมด้วยระเบียงเสาครึ่งวงกลม ซึ่งเบอร์นินีตั้งใจออกแบบเปรียบเทียบเสมือนแขนของศาสนาจักรที่ยื่นออกไปโอบล้อมโลก ระเบียงเสาแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1660 ประกอบไปด้วยแนวเสา 4 แถว มีเสา Doric 284 ต้น และเสาชิดผนังอีก 88 ต้น เสาแต่ละต้นมีความสูง 20 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.6 เมตร บนหัวเสามีประติมากรรม 140 ชิ้น เป็นรูปของพระสันตะปาปาแต่ละพระองค์ รวมถึงผู้ปฏิบัติศาสนพิธีคนอื่นๆ
จะเห็นกำแพงรูปครึ่งวงกลมอยู่สองด้าน ทั้งด้านซ้ายและขวา
เมื่อปี 1506 พระสันตะปาปาได้จ้างทหารรับจ้างจากสวิสเซอร์แลนด์มาที่นี่ เนื่องจากพวกเขาขึ้นชื่อเรื่องความจงรักภักดีและความกล้าหาญ ทุกวันนี้มีทหารชาวสวิสประมาณ 100 คนที่ยังคงทำหน้าที่ปกป้องพระสันตะปาปา คุมให้นักท่องเที่ยวเป็นระเบียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีเครื่องแบบที่ออกแบบโดย “ไมเคิ้ลแองเจโล”
พวกเราออกมาถ่ายรูปทหารสวิสกันใหญ่ ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายก่อนเดินทางออกมา
ทหารสวิสที่จะเข้ามาทำงานในวาติกันได้นั้น จะต้องเป็น คาธอลิก ยังไม่แต่งงาน มีสัญชาติสวิส อายุระหว่าง 19-30 ปี และสูงอย่างน้อย 174 เซนติเมตร จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ระยะเวลาของการปฏิบัติหน้าที่ก็คือ 2 ถึง 25 ปี
Swiss Guard
เมื่อได้เวลากันพอสมควรแล้วพวกเราก็เดินออกมาเพื่อไปหาอาหารเที่ยงทาน เรามีความคิดว่าการจะเข้าชมวาติกันควรมีเวลาทั้งวัน เพราะต้องใช้เวลากับการเข้าชมและ ชื่นชมกับศิลปะที่หาดูได้ยาก โปรแกรมต่อไปเราจะไปเที่ยวชมตัวเมืองโรมคะ