กรุงโรม
28 พฤษภาคม 2557(ต่อ)
พวกเราออกจากกรุงวาติกันก็ไปรับประทานอาหารเที่ยงกันในกรุงโรม
อาหารเที่ยงของเราชุดนี้ดีหน่อยไม่ต้องกินเส้นพาสต้า
กรุงโรม เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซิโอของประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.5ล้านคน ถ้ารวมเมืองโดยรอบจะมีประมาณ 4.3 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับมิลานและเนเปิลส์
โรมมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 2,800 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งเจ็ดริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรในอดีตมากมายเช่น ราชอาณาจักรโรมัน สาธารณรัฐโรมันและจักรวรรดิโรมัน โรมเคยเป็นเมืองที่มีบทบาทมากที่สุดของอารยธรรมตะวันตกและในอดีตได้เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันได้เป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีตั้งแต่ ค.ศ. 1870และใน พ.ศ. 2550 โรมเป็นเมืองที่มีผู้มาเยือนมากเป็นอันดับที่ 11 ของโลก มากเป็นอันดับสามในสหภาพยุโรป และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในอิตาลี
จากแผนที่จะเห็นว่าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ล้วนตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่า ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนัก สามารถเดินเล่นไปถึงกันได้ ซึ่งทำให้ได้อรรถรสในการชมบ้านเมืองของเขา มากกว่าการนั่งรถชมเมือง
จากกรุงวาติกันรถขับพาพวกเราข้ามแม่น้ำไทเบอร์(Tiber) เป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นที่สามของประเทศอิตาลี โดยมีต้นแม่น้ำอยู่ที่เทือกเขาแอเพนไนน์( Apennine Mountains)ในเอมีเลีย-โรมานยา ( Emilia-Romagna )และมีความยาวทั้งสิ้น 406 กิโลเมตร
ปราสาทเซนต์แองเจโล (Castel Sant’angelo)เป็นปราสาทแห่งเดียวที่ตั้งอยู่ในกรุงโรม ตรงกลางมีป้อมทรงกลมขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางยาว 200 ฟุุต สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าฮาเดรียน( Hadrian XIV) ใช้เป็นที่ฝังพระศพของจักรพรรดิต่างๆของโรมัน จากวังของPope จะมีทางเดินในช่องกำแพงไปจนถึงปราสาทหลังนี้ ซึ่งช่องทางเดินนี้เขาเรียกว่า Passetto di Borgo สร้างโดย Pope Nicolas III และ ในยามฉุกเฉินก็ใช้เป็นทางหนีภัยของPope ด้วย ต่อมาใช้เป็นป้อมปราการ ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกรุงโรม
เดิมมีชื่อว่า Mausoleum of Hadrian ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Castel Sant’ Angelo
ก็เพราะว่ามีตำนานเล่าขานกันในปี ค.ศ. 590 ว่า Archangel Michael ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 เทวดาองค์ใหญ่ในศาสนาคริสต์ ปรากฏองค์ขึ้นมาบนยอดปราสาท เพื่อยับยั้งกาฬโรคซึ่งกำลังระบาดอยู่ในเวลานั้น และกาฬโรคก็ได้ยุติลงอย่างอัศจรรย์ ปราสาทนี้ก็ได้รับชื่อใหม่นี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
รถขับผ่าน Monument of Vittorio Emanuele (Vittoriano ) อนุสาวรีย์ของ Victor Emmanuel กษัตย์องค์แรกของอิตาลี สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญญลักษณ์แห่งการรวมแว่นแคว้นต่างๆเข้าด้วยกันจนเป็นประเทศ สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1911-1935
ตรงกลางลานมีรูปหล่อจำลองทรงม้าของ Marcus Aurelius อดีตจักรพรรดิโรมัน
เราผ่านกำแพงเมืองที่ใหญ่โต ที่ถูกสร้างขึ้นมาในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล โดยกษัตริย์เซอร์วิอุส ทูลิอุส กำแพงนี้ถูกขนานนามว่า กำแพงเซอร์เวียน (Servian Wall) โดยกำแพงนี้มีโอกาสปกป้องโรมจากกองทัพของฮันนิบาลในสงครามพูนิค ครั้งที่ 2 (218-201 BC) จนกระทั่งปัจจุบัน ยังคงเหลือซากของกำแพงเซอร์เวียน อยู่ ณ กรุงโรม ให้เราได้เห็น.
โคลอสเซียม (Colosseum) เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยรัฐสมัยของจักรพรรดิเวสเปเซียน ( Titus Flavius Vespasianus )แห่งอาณาจักรโรมัน และจักรพรรดิไททัส ( Titus Flavius Vespasianus II) ประมาณปี ค.ศ. 80 โคลอสเซี่ยมได้ถูกใช้จัดการแข่งขันกลาดิเอเตอร์ การประหาร และการแสดงละครเกี่ยวกับทวยเทพเพื่อมอบความบันเทิงให้แก่ผู้ชม
อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น1 ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
การก่อสร้างที่ใช้แรงงานนักโทษกว่า 12,000 คน สร้างจากหินที่ค่อยๆเรียงขึ้นมาแต่ละด้านจนถึงตรงกลางที่วางเป็นก้อนสุดท้าย ใช้เวลาเพียง 8 ปี (คศ 72 – 80) ภายใต้จักรพรรดิ 3 พระองค์
สนามกีฬาแห่งนี้ จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ แต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลง โคลอสเซียม ก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหน ในปัจจุบันเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม
ที่นั่งชม ภายใน โคลอสเซียม แบ่งตามระดับชนชั้น จำนวน 5 ชั้น โดยความจุสูงสุดของสนามกีฬาที่มีความจุผู้ชมประมาณ 50,000 คน เนื่องจากชาวโรมันมีนิสัยเหยียดชนชั้น จึงมีการแบ่งที่นั่งจะแบ่งแยกตามระดับชนชั้น
ชั้นโพเดียม (Podium) คือชั้นที่สามารถมองเห็นการต่อสู้ใน อรีน่าได้ชัดเจนที่สุด ดีที่สุด บริเวณทิศเหนือ จะเป็นที่นั่งชมของ กษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ และ นักบวชหญิง (Vestal Virgins) ส่วนบริเวณอื่นของชั้นโพเดียม เป็นที่สำหรับผู้แทนสภา โดยที่นั่งแต่ละตัวจะมีการสลักชื่อไว้ เพื่อเป็นที่นั่งส่วนตัว
ชั้น มีเนียนั่ม พรีเมียม (Maenianum Primum) เป็นชั้นที่ถัดขึ้นไปจากชั้นโพเดียม เป็นที่นั่งสำหรับ ชนชั้นสูง อัศวิน แม่ทัพ
ชั้น Maenianum Secundum แบบ Immum เป็นชั้นที่นั่ง สำหรับ ชาวโรมันที่ร่ำรวย
ชั้น Maenianum Secundum แบบ Summum เป็นชั้นที่นั่ง สำหรับ ชาวโรมันทั่วไป
ชั้น Maenianum Secundum in legneis เป็นชั้นสุดท้าย อยู่ไกลที่สุด ไม่มีที่นั่งเป็นพื้นราบ หรือบางส่วนอาจมีชั้นไม้สำหรับยืนดู เป็นที่สำหรับ ชาวต่างชาติ ทาส และผู้หญิง
หมายเหตุ มีบางอาชีพที่จะไม่ได้รับอนุญาต ให้เข้าสู่ โคลอสเซียม เช่น สัปเหร่อ นักแสดง และ นักสู้แกลดิเอเตอร์ ( Gladiators )
ใต้อัฒจรรย์โคลอสเซียม (Colosseum) และใต้ดินโคลอสเซียม (Colosseum) มีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกัน ในปีหนึ่งๆต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน
นักสู้กลาดิเอเตอร์จะถูกแบ่งเป็น 10 ระดับ โดยนักสู้ระดับสูงสุดจะได้รับเงินจากการต่อสู้ครั้งเดียวเป็นเงินมากกว่า 15 เท่าของรายได้ทั้งปีของทหารราบแม้ว่านักสู้ในสังเวียนส่วนมากจะเป็นทาส แต่ไม่ใช่ทุกคน เพราะเมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่สองนักสู้กลาดิเอเตอร์มากกว่าหนึ่งในสามเป็นคนที่สมัครใจเข้ามา โดยมีชื่อเสียงและเงินทองเป็นสิ่งล่อใจ และการต่อสู้ทุกครั้งก็ไม่ได้จบลงด้วยความตายเสมอไป พวกเขามีโอกาสที่ดีที่จะเอาชีวิตรอด และหลายคนก็อำลาสังเวียนไปหลังจากประสบความสำเร็จในอาชีพนี้
เหลือแต่ซากอดีตที่ยิ่งใหญ่แต่แฝงไว้ด้วยความโหดร้าย
ประตูชัยคอนสแตนติน (Arch of Constantine) ประตูชัยแห่งนี้มีขนาดใหญ่และสภาพสมบูรณ์ที่สุดในกรุงโรม สร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะของจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 ที่มีชัยชนะเหนือ Maxentius ในสงคราม Battle of Milvian Bridge
ข้างๆโคลอสเซียมเป็นประตูชัยคอนสแตนตินคะ กำลังซ่อมแซมพอดี
พวกเราเดินถ่ายรูปกันได้สักพักก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อไปยังน้ำพุเทรวี่
รถผ่าน Piazza del Campidoglio ออกแบบและจัดสร้างบางส่วนโดยไมเคิลแองเจโล ตั้งแต่ปี ค.ศ.1536 ประกอบด้วยพระราชวัง 3แห่ง คือ พระราชวังเซเนท (Palazzo Senatorio ) พระราชวังใหม่ (Palazzo Nuovo) และพระราชวังคอนเซอร์วาตอรี่ (Palazzo Dei Conservatori ) ปัจจุบันได้ดัดแปลงพระราชวังทั้ง 3 แห่ง เป็น พิพิธภัณฑ์แสดงผลงานศิลปะโบราณ ที่มีอายุเกือบ 2,000 ปี
น้ำพุเทรวี่ (Trevi fountain)เป็นน้ำพุที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ชื่อ Trevi นั้นมาจากคำว่า Trivium สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พบกันของถนนสามสาย ออกแบบและก่อสร้างโดย นิโคลา ซาลวี่ ซึ่งองค์สมเด็จสันตะปาปาครีเมนต์ที่ 12 ได้มอบหมายให้สร้างขึ้นในปี 1732
การก่อสร้างดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปา เออร์บันที่ 8 กว่าจะออกมาสวยแบบนี้ มีการสร้างขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งลงตัวที่แบบดีไซน์ของสถาปนิกชื่อ Francesco Salvi ในช่วงศตวรรษที่ 17 รวมใช้เวลาทั้งสิ้น 30 ปี
มีร้านรวงข้างทางระหว่างไปน้ำพุเทรวี่ มาถึงก็เจอกับจำนวนคนมหาศาลที่ยืนถ่ายรูปกับน้ำพุ
แหล่งต้นน้ำของน้ำพุเทรวี่อยู่ห่างถึงยี่สิบสองกิโลเมตร ซึ่งเป็นต้นน้ำของสะพานส่งน้ำเวอร์โก Aqua Virgo ตำนานว่าทหารโรมันได้รับคำ สั่งให้มาหาแหล่งน้ำ เด็กหญิงคนหนึ่งได้ ชี้ให้มาพบแหล่งน้ำนี้ และปรากฏว่า เป็นน้ำบริสุทธิ์ มีคุณภาพดีมาก จึงตั้งชื่อน้ำนี้ว่า “น้ำแห่งผู้บริสุทธิ์” หรือ Aqua Virgo เท่ากับ Virgin Water หญิงสาวชื่อ ทรีเวีย (Trivia) จึงเป็นที่มาของชื่อน้ำพุ
สร้างจากหินอ่อนในสไตล์บารอก เป็นน้ำพุที่มีความสูง 25.9 เมตร และกว้าง 19.8 เมตร เป็นน้ำพุที่สวยที่สุดในกรุงโรม
ส่วนกลางของน้ำพุนั้นมีรูปปั้นของเทพเจ้าเนปจูน (Neptune) ขี่รถม้าติดปีก ขนาบข้างด้วยไตตันสองตน แสดงถึงความมีสุขภาพที่แข็งแรง และความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักร
ตามความเชื่อที่ว่า หากใครได้มาถึงน้ำพุแห่งนี้ แล้วโยนเหรียญอธิษฐานลงไปในสระ เขาเชื่อว่าคนๆ นั้นจะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้ง โดยการโยนเหรียญต้องหันหลังให้น้ำพุ โยนจากมือขวา ผ่านไหล่ซ้ายคะ
เราหยุดแวะร้านไอศครีมเจลลาโต้ร้านอร่อยร้านนี้ ไอศครีมมีหลายรส ราคาโคนละ2.5 ยูโร มี 2 ลูก รสชาดอร่อยคะ
นอกจากนี้ยังมีร้านขายผลไม้ เราแวะซื้อเชอรี่อีกเพราะอร่อยและราคาไม่แพง
หลังจากถ่ายรูปแล้วพวกเราก็เดินต่อไปยังบันไดเสปนโดยเดินผ่านเข้าซอยเล็กๆ ใช้เวลาในการเดิน 15 นาที
เดินผ่านอนุเสาวรีย์แห่งนี้ก็ถึงที่หมาย
บันไดสเปน ( spagna ) บันไดที่กว้างที่สุดและยาวที่สุดในทวีปยุโรป สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1723-1725 มีทั้งหมด 138 ขั้น เริ่มจากปลายเนินเขา Pincio ขึ้นไปสู่โบสถ์ Trinita dei Monti สาเหตุที่ได้ชื่อว่าบันไดสเปน เนื่องจากในอดีตมีสถานทูตสเปนประจำนครรัฐวาติกันตั้งอยู่ใกล้ๆ ปัจจุบันย่าน บันไดสเปน ได้กลายเป็นแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร ร้านกาแฟ โรงแรม ที่นัดพบวัยรุ่น
คุณโจบอกว่าให้ระวังกระเป๋าสตางค์ให้มากเพราะบริเวณนี้มิจฉาชีพเยอะ แต่เธอก็บอกว่าไม่เฉพาะที่นี่เท่านั้นตราบใดที่ยังไม่เหยียบเท้าออกจากอิตาลี่ให้ระวังให้หมด
บันไดสเปนตั้งอยู่จตุรัส Piazza di Spagna ต่อตรงกับถนน Via Condotti ที่เต็มไปด้วยร้านแบรนด์เนมมากมาย ทั้ง louis Vuitton, Dior, Prada, Gucci, Amarni, Valentio, Versace, Fendi, Ferragamo, Longchamp , Bulgari
ใครชอบซื้ออะไรก็เดินซื้อตามใจชอบเลย
ยังมีมุมน่ารักๆของร้านดอกไม้ด้วย
เราเดินขึ้นไปเพื่อเดินออกจากบันไดสเปน มองลงไปคนมากมาย และตรงกลางที่เห็นล้อมรััวเป็นน้ำพุ Fontana della Barcaccia น้ำพุรูปทรงเรือโบราณ กำลังซ่อมแซมอยู่
ข้างบนมีศิลปินวาดภาพขายเต็มไปหมด
หลังจากซ๊อปปิ้งและเดินเล่นแล้ว พวกเราก็เดินกลับไปขึ้นรถเพื่อรับประทานอาหารเย็นต่อเย็นนี้ทานอาหารจีนคะ ขอบอกว่าอร่อยมากจนลืมถ่ายรูปอาหาร มัวแต่ห่วงกินอีกแล้ว
เรากลับมาโรงแรมเดิม ถึงโรงแรม2ทุ่มกว่า ไม่อยากไปไหนแล้วคะ พักผ่อนดีกว่า เที่ยวแบบสบายๆ จะได้ไม่เหนื่อยมาก
พรุ่งนี้พวกเราจะไปเที่ยวฟลอเรนซ์ กับปิซ่า