ฟลอเรนซ์- ปิซ่า

29 พฤษภาคม 2557

คลิกก่อนหน้านี้ กรุงโรม

เช้าวันนี้มีีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น น้องคนหนึ่งในกลุ่มของเราโดนขโมยกระเป๋าในโรงแรมที่เราพักในช่วงรับประทานอาหารเช้า วันนี้พวกเราจึงต้องออกเดินทางไปเที่ยวในช่วงบ่าย เพื่อให้น้องเขาไปทำเอกสารจากสถานทูต พวกเราจึงนั่งรออยู่ที่โรงแรมและรับประทานอาหารเที่ยงใกล้ๆกับโรงแรมที่เราพักคะ

มื้อนี้พวกเรารับประทานพิซซ่าและสลัดเป็นอาหารเที่ยง ขอบอกว่าร้านนี้อร่อยมาก

พวกเราออกเดินทางจากโรงแรมประมาณ 14.00 น. เพื่อเดินทางไปฟลอเรนซ์

ระยะทางจากโรงแรมไปฟลอเรนซ์เป็นระยะทาง 281 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 30 นาที

ตลอดข้างทางไปเมืองฟลอเรนซ์เริ่มมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น มีต้นไม้เขียวๆปลูกเต็มไปหมด วันนี้มีฝนตกด้วย

เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) หรือ เมืองฟีเรนเซ (Firenze) ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน (Arno River)ตั้งอยู่ในแคว้น แคว้นทัสกานี (Tuscany) เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอิตาลี และเป็นเมืองหลวงของจังหวัดฟลอเรนซ์ (Firenze) เมืองนี้ถูกปกครองโดยตระกูลเมดิชิ (Medici)เป็นเวลานาน และคนตระกูลนี้ทำให้เมืองฟลอเรนซ์กลายเป็นศูนย์กลางของศิลปะตะวันตกอย่างแท้จริงด้วยการอุปถัมถ์ศิลปินที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น ไมเคิลแอนเจโล (Michelangelo), บอตติเชลลิ (Botticelli)

ปัจจุบันเมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมมากเป็นอันดับต้นๆของโลก เมืองแห่งนี้มีมีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บชิ้นงานศิลปะที่มีชื่อไว้มากมาย ใจกลางเมืองเก่าของฟลอเรนซ์ได้รับเลือกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ. 1982 โดยองค์การยูเนสโก (Unesco)

พอลงจากรถฝนก็หยุดตกแล้ว เป็นโชคดีของพวกเราที่ไม่ต้องเปียกฝน รถมาส่งเราที่สถานีรถไฟ Florence S.M.N ซึ่งเป็นเวลา 17.30 น. พวกเราเดินต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยว

จากสถานีรถไฟพวกเราเดินชมเมืองตามเส้นสีแดง และก็เดินย้อนกลับมาทางเดิม ด้วยเวลาที่จำกัดพวกเราจึงเดินชมเมืองเท่านั้น

พวกเราเดินผ่านมายัง piazza dell’unità italiana และเราก็เห็นโบสถ์ขนาดใหญ่อยู่ข้างหน้า ซื่อเดียวกับสถานีรถไฟ

โบสถ์ซันตามาเรียโนเวลลา (Santa Maria Novella )เป็นโบสถ์จากสมัยศตวรรษที่ 13 สร้างขึ้นเพื่อเป็นวัดหลักของนิกายโดมินิกัน แต่สร้างและตกแต่งเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 1360 สถาปัตยกรรมที่เห็นอยู่เป็นแบบโกธิคและเรอเนซองส์ตอนต้น

เดินเข้ามาเรื่อยๆก็เห็นอีกโบสถ์ Santa Maria Maggiore

เมื่อเราเดินเข้ามาอีกก็เห็น high light ของที่นี่ มหาวิหารฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral) หรือ วิหารซานตา มาเรีย เดล ฟิออเร (Basilica di Santa Maria del Fiore) มหาวิหารที่ตั้งอยู่ในเขตจัตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม โม (Piazza del Duomo) ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ออกแบบโดยฟีลิปโป บรูเนลเลสกี (Filippo Brunelleschi) มหาวิหารแห่งนี้ประกอบไปด้วยอาคาร 3 ส่วนด้วยกัน คือ

ตัวมหาวิหารและโดม ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นมาจากหินอ่อน 3 สีจาก 3 เมืองในทัสคานี สีขาวจากเมือง carrara สีชมพูจาก Siena สีเขียวจาก Prado ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 170 กว่าปี
ส่วนที่ 2 คือหอศีลจุ่ม (Baptistery San Giovanni) หอทรง 8 เหลี่ยม ตั้งอยู่ทางด้านหน้าของมหาวิหาร เป็นหนึ่งในสถานที่ทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในฟลอเรนซ์
ส่วนที่ 3 คือ หอระฆัง (Campanile di Giotto) สูง 85 เมตร สร้างขึ้นมาจากหินอ่อน 3 สีเช่นกัน

มหาวิหารฟลอเรนซ์ เป็นมหาวิหารที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของทวีปยุโรป รองลงมาจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ มหาวิหารเซนต์พอล และมหาวิหารมิลาน มีความยาว 153 เมตร และฐานของโดมกว้างถึง 90 เมตร ปัจจุบันมหาวิหารอยู่ภายใต้การดูแลของสังฆมณฑลโรมันคาทอลิกแห่งฟลอเรนซ์ (Roman Catholic Archdiocese of Florence)

อีกด้านหนึ่งจะเห็นโดมทีใหญ่ ว่ากันว่าเป็นโดมอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย

หอระฆัง Campanile di Giotto หอแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1059 – 1128 สร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมโกธิค ด้วยความสูงประมาณ 85 เมตร หอคอยนี้มีจุดชมวิวของเมือง ไม่มีลิฟท์ต้องเดินชึ้นบันไดถึง 414 ขั้น

ด้านบนของประตูเป็นงานโมเสกของ Nicolò Barabino

ประตูด้านหน้าของ Duomo สร้างขึ้นมาจากทองสัมฤทธิ์

ด้านนอกของมหาวิหารตกแต่งด้วยรูปปั้นแกะสลัก อ่อนช้อยและงดงาม

ความละเอียดละออของงาน

ตรงข้ามจะพบกับหอศีลจุ่ม (Baptistery San Giovanni) ซึ่งปิดซ่อมแซมคะ

ในส่วนของ Baptistery เราถ่ายได้แต่ประตูซึ่งทำจากทองสัมฤทธิ์ เป็นเรื่องราวต่างๆจากพระคัมภีร์เก่า ไมเคิลแองเจลโล่ เรียกประตูบานนี้ว่า “Porta del Paradiso” (the Gates of Paradise)” แต่บานที่เราเห็นกันในปัจจุบันเป็นบานที่ทำจำลองขึ้น ของจริงได้นำไปไว้ในพิพิธภัณฑ์

ประตูมีรั้วเหล็กกั้นไว้อยู่คะ ซูมใกล้เข้ามา

เดินไปได้อีกสักพักก็ถึง Piazza della Repubblica ซึ่งเป็นย่านช็อปปิ้ง

ข้างทางเป็นร้านขายของ

จากนั้นเราก็เดินเข้า Piazza della Signoria ต่อเมื่อเข้าไปปุ๊บก็เจอกับ Palazzo Vecchio แปลเป็นไทยว่าปราสาทเก่า ซึ่งเคยเป็นวังของตระกูลเมดิซี่

ตระกูลเมดิซี่ ( Medici ) เป็นตระกูลที่มีอำนาจในเมืองฟลอเรนซ์มานานถึง4ศตวรรษ นับตั้งแต่ศตวรรษที่13-17 โดยมีองค์สันตะปาปาจากตระกูลนี้ถึง3 พระองค์คือ พระสันตะปาปา ลีโอที่10,คลีเมนซ์ทรา8 และ ลีโอที่11 นอกจากนี้ยังมีนักปกครองที่มีบทบาทสำคัญอย่าง ลอเรนโซ่ เมดิซี รวมถึงยังมีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับราชวงศ์อังกฤษและฝรั่งเศส และยังเป้น 1ใน3ตระกูลผู้ริเริ่มยุคเรสเนซองในอิตาลีร่วมกับ ตระกูล สฟอร์ซ่า และ วินคอนสติ รวมทั้งกิจการธนาคารเมดิซี ตระกูลนี้ยังเป็นที่นับหน้าถือตาและมั่นคงที่สุดในยุโรป และยังเป็นตระกูลที่มีอำนาจทางการเมืองกว้างขวางทั้งในฟลอเรนซ์และทั่วยุโรป

ตระกูลเมดิชิมีชื่อเสียงในการเป็นผู้อุปถัมภ์นักดาราศาสตร์คนสำคัญคือ กาลิเลโอ กาลิเลอี ผู้เป็นครูของลูกหลานในตระกูลเมดิชิหลายคน แต่มาหยุดการสนับสนุนเอาในสมัยเฟอร์ดินานโดที่ 2 (Ferdinando II de Medici) เมื่อกาลิเลโอถูกกล่าวหาโดยศาลศาสนาโรมัน (Roman Inquisition) ว่าคำสอนของกาลิเลโอเป็นคำสอนนอกรีต แต่ตระกูลเมดิชิก็ปกป้องกาลิเลโออยู่หลายปี

Palazzo Vecchio ปัจจุบันเป็น ศาลาว่าการเมืองฟลอเรนซ์

ยังมีรูปปั้นที่น่าสนใจอีกมากมาย ในบริเวณจตุรัสและในอาคารปะรำพิธีแบบโรมัน Loggia dei Lanzi ใกล้กัน

มีน้ำพุเทพเจ้าเนปจูนตั้งอยู่กลางจตุรัส ชื่อว่า Fontana di Nettuno

ที่ด้านหน้าประตูของPalazzo Vecchio มีปฏิมากรรมหินอ่อนรูปเดวิด เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ Michelangelo 1ใน 2 ชิ้นกับปีเอต้าที่อยู่ในมหาวิหารวาติกัน

รูปปั้นเป็นชายหนุ่มยืนเปลือยกาย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและความงดงามของร่างกายมนุษย์ ว่ากันว่าเดวิดคือบุรุษหนุ่มในอุดมคติของไมเคิลแองเจโล

รูปปั้นเดวิดผลงาน Michelangelo แสดง กล้ามเนื้อ เส้นเลือด มือเท้า ละเอียดเหมือนคนจริงมาก ที่เห็นนี่เป็นรูปปั้นจำลองของจริงหาดูได้ที่หอศิลป์ Galleria dell’Accademia

รูปปั้นหินอ่อนแกะสลักฝีมือ Baccio Bandinelli ตั้งอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าPalazzo Vecchio เช่นกัน เป็นรูปปั้นที่ดูเหมือนจริงเช่นกัน ขนาดเห็นข้างหลังจนอดใจถ่ายรูปไม่ได้

Hercules and Cacus

ในอาคารนี้มีรูปปั้นหลากหลาย

Loggia dei Lanzi

รวมทั้งรูปปั้นของเพอร์ซีอุส (Perseus) ถือดาบและตัดหัวนางเมดูซา (Medusa) ผู้มีงูบนศีรษะ

Perseus

รูปปั้นอื่นๆก็งดงามไม่แพ้กัน

Uffizi Gallery เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุด 1 ใน 8 แห่งของโลก เต็มไปด้วยงานศิลปะยุคเรอเนสซองส์ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1560 เพื่อใช้เป็นสำนักงานของผู้พิพากษาแห่งเมือง Florenze ดังจะเห็นได้จากความหมายของคำว่า Uffizi ซึ่งก็คือ Office ในภาษาอังกฤษในเวลาต่อมาอาคารแห่งนี้ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อใช้เป็นที่เก็บรวบรวม และจัดแสดงงานสะสมของตระกูลเมดิซี

อยู่ด้านข้างอาคารปาลัซโซเวคคิโอ มีผลงานชั้นยอดของ Giotto, Raphael, Caravaggio, Michelangelo, Botticelli และท่านอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย มีภาพวาดฝีมือบอตติเชลลี (Botticelli) ที่สำคัญ 2 รูปคือ Birth of Venus และ Primavera ( Allegory of Spring )บริเวณี้ มีศิลปินขายภาพวาดด้วยคะ

พวกเราเดินต่อมายัง Ponte Vecchio สะพานนี้เป็นสะพานเดียวที่หลงเหลือจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสะพานที่มีชื่อเสียงมาก สะพานทอดตัวข้ามฝั่งแม่น้ำอาโน สมัยก่อนเป็นร้านขายเนื้อสัตว์ ต่อมามีการปรับปรุงทัศนียภาพเลยเปลี่ยนให้กลายเป็นร้านศิลปะ อัญมณีและของที่ระลึก

พวกเราไม่ได้เดินไปที่สะพาน ได้แต่มองในระยะไกลๆ

พวกเราเดินเล่นสักพักก็เดินย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อไปขึ้นรถ ออกจากที่ฟลอเรนซ์ก็เกือบ1ทุ่มแล้ว ต้องลุ้นว่าจะทันดูหอเอนปิซ่าหรือไม่

ระยะทางจากจุดที่เราขึ้นรถฟลอเรนซ์ไปปิซ่า 81 กิโเมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่าๆ มาถึงที่นี่ก็ 2 ทุ่มกว่าๆ ฟ้ายังสว่างอยู่บ้าง เพราะมาเที่ยวช่วงนี้โชคดีหน่อยเพราะพระอาทิตย์จะตกดินประมาณ 3ทุ่มกว่าๆ

รถมาส่งเราที่ลานจอดรถต้องเดินต่อไปยัง Piazza Dei Miracoli หรือ Piazza del Duomo เดินประมาณ 15 นาทีถึงจะได้เห็นหอเอนปิซ่า เป้าหมายของเรา

ปิซา ( Pisa )อยู่ในแคว้นทัสคานี อยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยปิซ่า (University of Pisa) ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของอิตาลี และเก่าเป็นอันดับที่ 19 ของโลก มีชื่อเสียงที่ผู้คนและนักท่องเที่ยวรู้จักกันในนาม “หอเอนแห่งเมืองปิซ่า”และเมืองนี้เป็นบ้านเกิดของนักวิทยาศาสตร์ผู้โด่งดังของโลกชื่อ กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) เมื่อ ค.ศ. 1564-1642

พวกเราเข้ามาก็เห็นกำแพงที่สูงใหญ่ และมีร้านขายของขำร่วยแต่ร้านขายของปิดแล้ว

หอเอนปิซา (Pisa Leaning Tower) เป็น1ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง และถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli ในค.ศ.1987 รวมเวลาสร้างทั้งสิ้นเกือบ 200 ปี

การก่อสร้างเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1173 เมื่อสร้างไปได้ 3 ชั้น ก่อสร้างหยุดชะงักเนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว
ช่วงที่ 2 ค.ศ.1272 โดย จิโอวานนี ดิ ซิโมเน (Giovanni di Simone) เขาสร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล โดยสร้างเพิ่มอีก 4 ชั้น ก็ต้องยุติลงเพราะสงคราม
ช่วงสุดท้ายในปี ค.ศ.1319 มีการสร้างหอระฆัง สร้างโดย ทอมมาโซ ดิ แอนเดรีย ปิซาโน (Tommaso di Andrea Pisano) หอระฆังถูกสร้างเสร็จ 7 ชั้น ค.ศ.1372
หลังจากนั้น รัฐบาลพยายามพยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ แต่กลับทำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไป
ในปี ค.ศ. 1990-2001ได้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพื่อความปลอดภัย และทำการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้นโดยโดยขุดดินด้านที่สูงกว่าออกทีละน้อยสามารถดึงกลับมาได้เพียง 44 ซม.เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา และเปิดให้ประชาชมเข้าชมได้ใน15 ธันวาคม 2001

เมื่อเดินเข้ามาจะเห็น 3อาคาร หน้าสุดคือหอศีลจุ่ม โบสถ์ และ หอเอน

เมื่อเข้ามาภายในกำแพง Piazza Dei Miracoli จะมี 4 อาคาร ก็คือ

1. Baptistery – หอศีลจุ่ม
2. Pisa Cathedral – โบสถ์
3. Leaning Tower of Pisa – หอเอน (หอระฆัง)
4. Campo Santo – สุสาน

เห็นแล้วหายเหนื่อยเลย

หอพิธีเจิมน้ำมนต์ ( Baptistery) เป็นหอทรงกลมสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์(Romanesque) แต่ยอดโดมหลังคาเป็นแบบโกธิก โดยมีลวดลายแบบอาหรับประปนอยู่เล็กน้อย เนื่องจากปิซ่าเคยทำมาค้าขายกับพวกแขกมัวร์ในสเปนและอัฟริกาเหนือมาก่อนในช่วงที่ปิซ่าเป็นเมืองท่าสำคัญ

Pisa Cathedral มหาวิหาร เป็นอาคารแรกที่สร้างขึ้น เริ่มก่อสร้างในปี 1064 ด้วสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์เช่นเดียวกัน ประตูเข้าทางด้านหน้า ซึ่งหันไปทางด้านตะวันตก สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะของชาวปิซ่าที่มีเหนือพวกซาราเซนที่สมรภูมิชิชิลี ตกแต่งเป็นลวดลายหินอ่อนหลากสีสัน บานประตู 3 บานหล่อด้วยสำริดแสดงเรื่องราวทางศาสนา สร้างขึ้นแทนไม้เก่าที่ถูกไฟไหม้ในปี ค.ศ. 1595

หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 55.86 เมตร น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร

กาลิเลโอ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาด ซึ่งการทดลองนั้นค้านกับหลักการที่มีมากว่า 2,000 ปีของ อาริสโตเติล (Aristotle ) ที่ทำทุกคนเชื่อกันว่าวัตถุ “หนัก” จะตกลงพื้นเร็วกว่าวัตถุ “เบา” ทำให้พวกนักวิชาการสายกรีก ที่พากันมาดูการทดลองไม่ให้ความสำคัญ และเลือกที่จะเชื่ออย่างเดิม แต่ปัจจุบันเป็นที่รู้กันแล้วว่าทฤษฎีของกาลิเลโอนั้นถูกต้อง

สาเหตุที่หอเอนลง ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เป็นเพราะพื้นดินที่ใช้ในการก่อสร้างเป็นดินปนทรายและดินโคลนทำให้ไม่แข็งแรงพอที่จะรองรับน้ำหนักของหอคอยขนาดใหญ่ได้ แต่ด้วยวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างซึ่งทำมาจากหินปูน และปูนขาว มีคุณสมบัติสามารถโค้งงอ และทนต่อแรงต่าง ๆ ได้ดีกว่าวัสดุอื่น ๆ อย่างพวกหินหรืออิฐ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมหอคอยแห่งนี้จึงไม่ถล่มไปเลย แต่กลับค่อย ๆ เอนลงเรื่อย ๆ

โดยปัจจุบันนี้ หอเอนเมืองปิซ่า ลาดเอียงลงมาประมาณ 13 องศาแล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หอเอนมีโอกาสพังถล่มลงมาแน่นอน โดยทุก ๆ 20 ปี หอคอยแห่งนี้จะเอนลง 1 นิ้ว และมีคนทำนายว่า หอคอยแห่งนี้จะพังถล่มลงมาในปี 2200 หากยังไม่มีใครหาทางป้องกันได้

ปิซ่ายามค่ำคืนสวยไปอีกแบบ

หลังจากชื่นชมและถ่ายรูปกับหอเอนปิซ่าแล้ว พวกเราก็ไปรับประทานอาหารค่ำที่ร้านอาหารอิตาลี่ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันและเดินกลับไปที่จอดรถ เวลาเราเดินกลับทำไมรู้สึกมันไกลจัง..

หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางไปยังโรงแรม Galilei Pisa Hotel อยู่ที่เมืองปิซ่า

ตอนต่อไป เวนิส

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here