เวโรน่า

ก่อนหน้านี้ เวนีส

โปรแกรมวันนี้พวกเราจะไปเที่ยวเมืองซีรมิโอเน่ ชมทะเลสาบกราด้า แต่คุณโจใจดีจึงจัดให้พวกเราเที่ยวเวโรน่าด้วยเพราะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กัน ดังนั้นพวกเราจึงยินดีพร้อมใจกันจ่ายเงินเพิ่มเติม โดยต้องจ่ายภาษีเข้าเมืองเวโรน่า ( โดยปกติการเข้าเมืองในประเทศนี้รถแต่ละคันต้องจ่ายค่าภาษีเข้าเมืองในแต่ละเมืองด้วย ) ค่าน้ำมันและเงินพิเศษให้คนขับรถ พวกเราออกเดินทางแต่เช้า ดังนั้นเวลาที่พวกเราตื่นคือ 0.530 น. 06.30 น.ทานอาหารเช้าและออกเดินทาง 07.00 น

จากแผนที่จะเห็นว่าเวโรน่าเป็นทางผ่านและอยู่ใกล้กับเมืองซีรมิโอเน่ที่เราจะไปพอดี ดังนั้นพวกเราจึงมีโอกาสได้ไปเที่ยวเมืองนี้ด้วย

ระยะทางจากโรงแรม Apogia Sirio Hotel ห่างจาก เวโรน่า ประมาณ 109 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 1 ชั่วโมง 20 นาที

เวโรน่า (Verona) ตั้งอยู่แคว้นเวเนโตซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี่ ซึ่งเป็นแคว้นเดียวกันกับเมืองเวนิช และใกล้กับทะเลสาบกราด้า

เป็นเมืองเก่าแก่ตั้งแต่ยุคโรมันโบราณเมื่อ 2 พันกว่าปี มีความรุ่งเรืองมากภายใต้การปกครองของตระกูลสกาลิเจอร์ (Scaliger family) ในค.ศ. 13-14 และเคยเป็นเมืองขึ้นของสาธารณรัฐเวนิช (Republic of Venice)ในค.ศ. 15-18 ได้รับสมญานามว่า “LITTLE ROMAN” ยังคงรักษาโบราณสถานไว้ได้เป็นจำนวนมาก จากยุคโบราณ ยุคกลางและยุคเรอเนสซองส์ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี คศ. 2000

ระหว่างทางเราจะเห็นไร่องุ่น อยู่ตลอด 2 ข้างทาง

นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่เป็นแหล่งกำเนิดตำนานรักอันแสนเศร้าของหนุ่มสาวคู่หนึ่งคือ โรเมโอและจูเลียต Romeo and Juliet ซึ่ง กวีเอก Shakespeare เชคสเปียร์ ของอังกฤษได้นำเรื่องมาแต่งเมื่อ ค.ศ. 1595 จนคนทั่วทั้งโลกต่างพากันหลั่งน้ำตาให้กับความรักอันเป็นอมตะและแสนเศร้าของคนทั้งสอง

มีแม่น้ำอดิเจ (Adige River)ไหลผ่าน เมืองตั้งอยู่ตรงโค้งของแม่น้ำอดิเจ (Adige River) และแบ่งตัวเมืองเป็นสองฝั่ง

รถขับพาพวกเราข้ามสะพานก็ไปเจอกับกำแพงเมืองที่ใหญ่มาก ภายในเป็นปราสาทเก่า ก่อสร้างโดยเจ้าเมืองจากตระกูล Scaliger ผู้ปกครองเวโรน่า ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม

Castelvecchio เมือง สร้างในปี 1350 สร้างจากอิฐแดง ในสมัยก่อนเป็นกำแพงเมืองป้องกันการรุกรานจากศัตรู เป็นป้อมปราการทางการทหาร

รถบัส hop on hop off พานักท่องเที่ยวชมเมือง ราคา 18 เหรียญต่อ 1 ต่อคนต่อวัน ขึ้นลงกี่รอบก็ได้

ทางผ่านไปยัง Arena

Arena เป็น stadium มีรูปแบบเหมือนโคลอสเซียมในกรุงโรมแต่มีขนาดเล็กกว่า ที่ชาวโรมันสร้างไว้นอกกำแพงเมืองมีอายุยืนยาวกว่า 2000 ปี ซึ่งเคยเป็นโรงมหรสพที่ใหญ่โตเรียกว่า Amphitheatre ของชาวโรมัน เขาได้สร้างสถานที่นี้ขึ้นมาเพื่อจัดงานที่ใหญ่โตและสำคัญๆ เช่น ถูกใช้เป็นที่ต่อสู้ของเหล่า Gladiator รวมถึงงานรื่นเริงต่าง ๆ ของเมือง ซึ่งปัจจุุบันทุกๆปีในช่วงฤดูร้อน จะมีการแสดงมหาอุปรากรที่มีชื่อเสียงและคอนเสิร์ทในรูปแบบต่างๆ

มีสภาพสมบูรณ์ไม่แพ้โคลอสเซียมในโรมแต่มีขนาดเล็กกว่า วัดจากภายนอกได้ 153 เมตร คูณ 124 เมตร มีความสูง 30 เมตร บรรจุผู้ชมได้ถึง 30000 คน

เราเดินผ่านประตูเมือง ด้านบนสุดของกำแพงเมืองมีการก่ออิฐเป็นรูปตัว M โดยรอบปราสาทและสะพาน

เราเดินมายัง Piazza Bra จตุรัสที่ใหญ่ที่สุดของเวโรนา จะเห็น Arena และ มีตึกสีสันสวยงามอยู่ตรงกันข้าม ชวนให้อยากถ่ายรูปกับตึกเหล่านี้

เราเดินต่อไปยัง Via Mazzini ถนนคนเดินช๊อปปิ้งที่มีแต่ของแบรนด์เนม เช่น Louis Vuitton , Beneton แต่ยังเช้าอยู่มากยังไม่มีร้านไหนเปิดเลย

เป็นเมืองแรกในอิตาลี่ที่เราเห็นคนน้อยมาก…แต่ที่ไหนได้พอสายๆคนมากันเพียบเลย

เราผ่าน รูปปั้น Berto Barbarani กวีเอกของเมืองเวโรน่า

การตกแต่งของแต่ละร้านล้วนน่าสนใจ

ร้านนี้ก็แปลกดี

เดินประมาณ 20 นาทีเราก็มาถึงเป้าหมาย

ด้านตรงข้ามเป็นประตูทางเข้าบ้านจูเลียต (Casa di Giulietta)

ในนิยายกล่าวถึงความรักของหนุ่มสาวชาวเวโรน่าที่มาจากครอบครัวตระกูลของมอนตะคิว(Montague)ซึ่งเป็นตระกูลของโรมิโอและคาปูเล็ต( Capulet)ตระกูลของจูเลียต ที่เป็นศัตรูกันและจบลงด้วยเรื่องอันน่าเศร้า

บ้านจูเลียต(Casa di Giulietta)ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 27 ถนน ถนน viacappello เป็นเพียงโรงแรมเก่าแก่ที่ถูกโอปโลกน์ให้กลายเป็นบ้านของตระกูล Capulet เพราะจูเลียตและตระกลูนี้ไม่เคยมีตัวตนจริงและเป็นเพียงตัวละครในนิยายเก่าแก่เท่านั้น

ภายในบริเวณบ้านจูเลียต บริเวณสวน มีรูปปั้นบรอนซ์ของจูเลียตขนาดเท่าคนจริง

ว่ากันว่าใครก็ตามที่จับหน้าอกซ้ายของรูปปั้นพร้อมอธิษฐานขอความรักจะสมหวัง ดูที่หน้าอกจูเลียตได้…มันแพลบเชียว… มีนักท่องเที่ยวต่อคิวไม่ขาดสาย รวมถึงพวกเราด้วยไม่พลาดเช่นกัน

คู่รักจะเอากุญแจมาคล้องที่ประตูนี้….เต็มไปหมดเลย

ชั้น 2 เป็นมุมที่จูเลียตออกมาพบโรมิโอ โดยโรมิโอได้ปีนขึ้นไปหาจูเลียตและสารภาพความรักของเขา

เราอยู่ที่นี่ประมาณ 10 นาทีก็ไปยัง Piazza Erbe หรือ เป็น market square เป็นที่ชุมนุมของชาวบ้านมาตั้งแต่ยุคโรมัน มีอาคารสีสรรสวยงาม ในจตุรัสมีแผงขายผัก ผลไม้ และของที่ระลึกต่างๆ

ปกติลานนี้จะมีแผงขายของอยู่เต็มไปหมด แต่เราไปเช้ามาก ลานยังว่างอยู่เพราะร้านยังไม่เปิดกัน

เราจะเห็น หอคอย Torre dei Lamberti โดดเด่นมาแต่ไกล และเป็นจุดชมวิวด้วย และมี Devotional columm อยู่ด้านหน้า

หอคอยสร้างเมื่อค.ศ. 1172 และใส่นาฬิกาเพิ่มในปี 1779 ถ้าต้องการชมวิวต้องเดินขึ้นบันได 238 ขั้น พวกเราไม่ได้ขึ้นไปชมวิวเพราะไม่มีเวลาพอ

ด้านข้างของลานมีตึกลายแปลกตาตั้งอยู่ชื่อ Domus Mercatorum สร้างเมื่อปี1301

กลางจตุรัสมี น้ำพุเก่าแก่กว่าสองพันปี เดิมรูปปั้นเป็นรูปปั้นโรมัน ต่อมาเปลี่ยนเป็นพระแม่มารี ( Madonna of Verona )

รูปปั้นพระแม่มารีชัดๆ

ศาลาหิน ใช้แขวนตาชั่งใช้ในการซื้อขายสินค้าในสมัยยุคกลาง เป็นพวกผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ หรืออื่นๆ

ด้านหลังมีอาคารสไตล์บารอคชื่อ Palazzo Maffei เคยเป็นวังเก่า สร้างในศตวรษที่ 17 ตึกนี้สร้างซ้อนซากโบราณเก่าของพวกโรมัน หอคอยสูงๆด้านข้าง คือหอระฆัง Gardello มีอายุเก่าแก่มากกว่า 600 ปี

บนยอดตึกมีรูปเทพเจ้าของกรีกอยู่หกรูป เรียงตามลำดับคือ Hercules, Jupiter, Venus, Mercury, Apollo และ Minerva

บน Colonna di San Marco มีรูปแกะสลักสิงโตมีปีก สัญลักษณ์ของเวนิส ที่เคยเข้ามายึดครองเมืองนี้อยู่นาน

Casa Mazzanti นี้ด้านบนจะมีภาพวาดลวดลายสวยงาม

เมื่อได้เวลาพอสมควรพวกเราก็เดินทางกลับทางเดิม พวกเรามาทาง Piazza Bra เพื่อกลับไปยังที่จอดรถบัส

ก็มาเห็นแผ่นบรอนซ์บอกเล่าเรื่องราวของโรมิโอกับจูเลียต ตั้งอยู่กลางสนามหญ้า

เรื่องราวของโรมิโอกับจูเลียตตั้งแต่ พบกัน สารภาพรักกัน แอบได้เสียกัน…จนกระทั่งผู้ใหญ่จับได้ และ จบลงด้วยโศกนาฏกรรม

เมืองนี้เป็นเมืองที่่น่ารักมากดูมีเสน่ห์.. ถ้ามีเวลามากกว่านี้อยากจะอยู่นานๆหน่อยเพราะมีหลายที่ๆเราไม่ได้ไปเดินชมเช่น Castelvecchio Bridge หรือขึ้นหอคอยเพื่อชมเมืองในมุม 360องศา… แต่มันไม่ได้อยู่ในโปรแกรมในทัวร์ของเราถือเป็นกำไรที่มีโอกาสมาเที่ยวที่นี่กัน…..

พวกเรานั่งรถต่อไปยังซีรมิโอเน่เพื่อชมทะเลสาบกราด้าและทานข้าวเที่ยงที่นั่น

เที่ยวเมือง ซีรมิโอเน่

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here