ซาเกร็บ

5 พฤษภาคม 2558

ปีนี้พวกเราตกลงใจเที่ยวโครเอเชียกัน เพราะได้ยินจากเพื่อนๆที่ไปเที่ยวทัวร์ด้วยกันชมนักชมหนาว่าสวยมาก ก็เลยตัดสินใจว่าต้องไปให้ได้สักครั้ง พอดีมีเพื่อนๆสนใจกันหลายคนจึงตัดสินใจจองทัวร์ไปซะเลย แต่กว่าทัวร์จะออกก็ยากแสนยากต้องรอตั้งนานกว่าคนจะครบจำนวนเพื่อให้ออกทัวร์ได้..และในที่สุดก็ได้ไปจนได้

การทำ visa ต้องยื่นวีซ่าที่สถานทูตโครเอเชียเท่านั้น ไม่สามารถใช้วีซ่าเชงเก้นได้ หรือต้องใช้วีซ่าเชงเก้นแบบ Multiple….. เราตัดสินใจไปกับบริษัททัวร์ เพราะเขาจัดการให้หมด..แต่ถ้าไปเองอาจจะยุ่งยากซักหน่อยเพราะประเทศไทยไม่มีสถานทูตโครเอเชีย แต่ไปตั้งอยู่ที่ปประเทศอินโดนีเชีย..นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่เราตัดสินใจไปกับทัวร์

เพื่อนๆหลายคนถามว่าปีนี้ไปเที่ยวไหน…เราบอกเพื่อนๆว่าจะไปเที่ยวโครเอเชีย พวกเขาก็มักจะถามว่ามันอยู่ไหน..ส่วนพ่อกับแม่เราก็ถามว่ามันมีอะไรเหรอประเทศนี้…รู้จักแต่นักฟุตบอล..เราก็ยังตอบไม่ได้หรอกเดี๋ยวกลับมาจะมาให้คำตอบนะจ๊ะ

โครเอเชียตั้งอยู่ในทวีปยุโรปที่มีอาณาเขตจรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรปกลาง และบอลข่าน รูปร่างของประเทศคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยวหรือเกือกม้าซึ่งช่วยให้สามารถติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ได้แก่ สโลวีเนีย ฮังการี เซอร์เบีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มอนเตเนโกร และอิตาลี (อีกฟากหนึ่งของทะเลเอเดรียติก) มีเนื้อที่ 56,594 ตร.กม. เป็นพื้นน้ำ 128 ตร.กม. และมีเกาะมากกว่า 1000 เกาะ มีเมืองหลวงชื่อซาเกร็บ (Zagreb)

โครเอเชียเคยเป็นสาธารณรัฐในยูโกสลาเวียเดิม แต่ได้รับเอกราชในพ.ศ. 2534และสมัครเพื่อเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในอนาคต

พวกเราเดินทางโดยสายการบินออสเตรียนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ OS 026 เดินทางสู่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ใช้เวลาในการเดินทาง 11 ชั่วโมง

จากนั้นก็รอเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเวียนนาประมาณ 1.30 ชั่วโมง เพื่อเดินทางต่อไปยังซาเกรบ เที่ยวบิน OS 681เครื่องบินที่เราขึ้นมาเป็นเครื่องบินลำเล็ก ใช้เวลาในการเดินทาง 50 นาที

เวลาที่โครเอเชียช้ากว่าเมืองไทย 5 ชั่วโมง

สนามบินที่นี่ไม่ใหญ่มาก เราผ่านตม.สักพักก็ออกมา เจอกับเคาเตอร์แลกเงินพอดี

ร้านค้าต่างๆที่ประเทศนี้ส่วนใหญ่เงินคูนา ( kuna) อัตราแลกเปลี่ยน 1 คูนาเท่ากับ 5 บาท ถ้าใน supermarket หรือร้านใหญ่ๆ สามารถใช้บัตรเครดิตได้

เราใช้เงินยูโรและไปแลกเป็นเงินคูนาที่เคาน์เตอร์นี้.. แต่ถ้าไม่แลกที่นี่ก็จะมีตามแหล่งท่องเที่ยวให้แลกได้อีก

หลังจากแลกเงินเสร็จเราก็ออกมาจากสนามบิน โดยมีรถบัสจอดรอเราอยู่ วันนี้พวกเราเที่ยวซาเกร็บกัน

เมืองซาเกร็บ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของที่ราบแพนโนเนีย เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากว่า 1,000 ปีโดยตัวเมืองนั้นตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำซาวา (Sava) แบ่งออกเป็น 2 เขต คือ เขตเมืองเก่าสมัยกลาง ซึ่งตั้งอยู่เนินเขาเรียกว่า The Upper Town ส่วน เมืองที่ทันสมัย ตั้งอยู่บนที่ราบริมแม่น้ำซาวา เรียกว่า The Lower Townระหว่าง เขตเมืองเก่ากับเมืองใหม่มีลานจัตุรัสขนาดใหญ่กั้นอยู่ เรียกว่าจัตุรัส Josip Jeelascic Trg

เขตเมืองเก่า ( The Upper Town ) เป็น สถานที่ตั้งของที่ทำการรัฐบาล ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครอง การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ บนเนินเขาแห่งนี้จึงประกอบด้วย ทำเนียบประธานาธิบดี อาคารรัฐสภา โบสถ์วิหารที่เก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง อาคารพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งป้อมปราการและประตูเมือง

บรรยากาศของเมืองที่ดูเงียบสงบ ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ

รถมาส่งเราที่ย่านเมืองเก่า หรือที่เรียกกันว่า Upper town พวกเราไปเดินด้านนี้กันก่อน

ตึกนี้สีสรรสวยงามชวนให้อยากมาถ่ายรูปด้วย

เราเดินมาบริเวณ kaptol ซึ่งเป็นลานกว้าง

หน้าวิหารเป็นอนุสาวรีย์ Virgin Mary สร้างขึ้นเพื่อน้อมสำนึกถึงพระกรุณาของพระแม่ที่ปกปักรักษาชาวเมืองเมื่อกาลครั้งที่กาฬโรคระบาดในศตวรรษที่18

เพื่อเดินมาชม St. Stephen’s Cathedral (Zagreb Cathedral) มหาวิหารสังกัดโรมันคาทอลิกที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซาเกร็บ สร้างขึ้นในแบบสไตล์นีโอโกธิค ในช่วงศตวรรษที่ 11 ซึ่งถือว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโครเอเชีย และยังเป็นศูนย์กลางของคริสต์จักรในประเทศโครเอเชียอีกด้วย

เดิมเป็นโบสถ์ธรรมดา และในปี ค.ศ. 1094 กษัตริย์ ลาดีสลาอุส (King Ladislaus) ได้ให้พระราชาคณะย้ายที่พำนักจากสีสัก (Sisak) มายังซาเกร็บ แต่ก็ถูกกองทัพมองโกลทำลายในปี ค.ศ. 1242 เมื่อมองโกลจากไป โบสถ์นี้ก็ได้รับการซ่อมแซมใหม่ และ ขยับขยาย ในอีกหลายครั้งต่อมา

และในปี 1880 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ โบสถ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก และได้รับการบูรณะให้กลับมาสวยอีกครั้งในศตวรรษที20

บริเวณด้านนอกโบสถ์ประดับประดาด้วยรูปปั้นที่งดงาม

ภายในประดับประดาด้วยหินอ่อน ตกแต่งในไสตล์บารอค ทั้งบริเวณแท่นบูชา มุขระเบียง รูบปั้นแกะสลัก และแท่นฝังศพของพระคาร์ดินัล

มีโลงแก้ว ซึ่งบรรจุศพของ Aloysius Viktor Stepinac ท่านดำรงตำแหน่งเป็นพระคาร์ดินัลโครเอเชียปี 1937-1960

หลังจากเดินชมมหาวิหารได้สักพักพวกเราก็เดินออกมาผ่านไปยัง Dolac Market ซึ่งมีตลาดนัดขายของพื้นเมืองเรียงรายอยู่

สินค้าพื้นเมืองทำด้วยไม้

ชาวเมืองนิยมปลูกส้ม สตอเบอรี่ เชอรี่ แต่ช่วงนี้เชอรี่ยังไม่ออกดี จึงเห็นแต่ ส้มและสตอเบอรี่

สตอเบอรี่ ที่นี่สดมาก แต่ก็ต้องดูราคาดีๆเพราะหน้ากล่องเขียน 12 คูนา แต่พอหยิบกล่องที่มีลูกใหญ่ขึ้นมาจะขึ้นราคาเป็น 15 คูนา..แอบเซ็งนิดนึง

สตอเบอรี่ที่นี่หวาน สด อร่อย ……..พวกเราเดินไปกินไป เพื่อแข่งกับเวลา

ร้านรวงตกแต่งน่ารัก ชวนให้อยากเข้าไปถ่ายรูปด้วย

ขณะเดินไปไกด์ก็เล่าให้ฟังว่าประเทศโครเอเซียเป็นประเทศแรกที่คิดและผลิตปากกาหมึกซึมกับเนคไท

เราเดินผ่านหอสวด ซึ่งมีคนคับคั่ง

หอสวด เป็นที่ประดิษฐานพระรูปของพระแม่มารีซึ่งทำให้เมืองรอดพ้นอัคคีภัยพิบัติในปี 1731 เป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น

ชาวเมืองอัญเชิญรูปพระแม่มารีมาประดิษฐานไว้ เพื่อเป็นที่เคารพบูชาของชาวเมือง

ร้านขายยาตราอินทรีดำ ร้านยาที่เก่าแก่ที่สุดในซาเกร็บ เปิดขายมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ส่วนร้านขายยาที่เก่าที่สุดในโครเอเชียนั้นอยู่ที่เมือง Dubrovnik เปิดขาย
ตอนต้นศตวรรษที่ 14 และเป็นร้านขายยาที่เก่าที่สุดเป็นอันดับที่สามของยุโรป

แอบเข้ามาถ่ายด้านในร้าน

โคมไฟถนนที่ใช้แก๊ส ไกด์ท้องถิ่นบอกว่าประเทศโครเอเชียเป็นประเทศแรกที่ทำโคมไฟถนนแบบใช้แก๊ส และปัจจุบันก็ยังคงใช้อยู่ จะเห็นโคมไฟแบบนี้ตามท้องถนนเรียงรายอยู่

พวกเราเดินทางมายัง St. Mark square สิ่งก่อสร้างที่สวยอีกที่หนึ่งของเมือง โบสถ์เซนต์มาร์ค( St. Mark’s Church )

เป็นโบสถ์คริสนิกายโรมันคาทอริก สร้างมาตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 13 ผสมผสานศิลปะหลากหลายเข้าด้วยกัน แบบโรมาเนสก์ ต่อมาในศตวรรษที่ 14 โบสถ์ถูกสร้างใหม่ในรูปแบบศิลปะโกธิค หลังคาโบสถ์เรียงแผ่นปูหลังคาเป็นรูปสัญลักษณ์ของกองทัพซาเกร็บ แถบสีแดง ฟ้า ขาว หมายถึง สโลวาเนีย

ด้านซ้ายมือเป็นรูปตราหมากรุกสีแดง-ขาว หมายถึงโครเอเชีย ส่วนหัวลีโอพาร์ด 3 ตัว แทนแคว้นดัลเมเทีย และข้างล่างเป็นรูป Kuna สัตว์ประจำชาติ
ด้านขวามือ คือ ตราของกองกำลังแห่งซาเกร็บรอบๆ จัตุรัส กำแพงหินโบราณ

รูปปั้นอัครสาวก 12 องค์ของพระเยซูที่จัดวางประดับเหนือประตู

พวกเราเดินไปต่อยังจุดชมวิวของเมือง

จุดชมวิว จะมีผู้คนมานั่งเล่นมากมาย ถ้าต้องการชมวิวที่สูงขึ้นไปจะมีหอคอยให้ขึ้นชม แต่เรากลัวว่าเวลาจะไม่พอจึงไม่ได้ขึ้นชม

มองเห็นยอดโบสถ์เซ็นต์สตีเฟ่นและเซ็นต์มารค์แต่ไกล

หลังคาสีส้มสวยงาม

เขตเมืองใหม่ ( The Lower Town) เป็น เมืองที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาในศตวรรษที่ 19 หลังปี ค.ศ 1830 ณ บริเวณถนนที่ล้อมรอบด้วยสวนรูปเกือกม้า ที่รู้จักกันในชื่อ The Green Horseshoe บริเวณนี้เป็นเมืองที่ได้รับการออกแบบผังเมืองและอาคารต่างๆ ที่เน้นความสวยงามด้านภูมิทัศน์ และรูปแบบของอาคารที่สง่างามด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรม Neo-classic , Neo-gothic และ Neo-Renaissance

พวกเราเดินต่อไปยัง The Lower Town มีลานจัตุรัสขนาดใหญ่ชื่อว่า Josip Jeelascic Trg

มีร้านค้า ห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาเกต รวมทั้ง ตลาดนัดด้วย และจะเห็นรถไฟสีน้ำเงินขับผ่านตลอด

Ban Jelačić statue อนุสาวรีย์ของผู้ว่าการรัฐโครเอเชียสมัยศตวรรษที่ 19 ท่านเป็นผู้นำทัพโครเอเชียทำสงครามกับฮังการี อนุเสาวรีย์นี้สร้างขึ้นโดยฝีมือของประติมากรเอก Ivan Mestrovic

พวกเราเดินเล่นและแวะซื้อของกันพอสมควร ก็ได้เวลาไปรับประทานอาหารกลางวันกัน มื้อนี้เป็นอาหารจีนที่ร้าน Mr. Chen ไม่ทันได้ถ่ายรูปอาหารเลย อาหารหมดซะก่อนแล้ว

จากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังหมู่บ้านรัสต็อคเก้ “Rastoke Village” ระยะทาง 104 กิโลเมตรใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง

แต่ก่อนจะถึงเป้าหมายรถก็จะจอดให้เข้าห้องน้ำ การเข้าห้องน้ำที่ประเทศนี้เสียค่าเข้าครั้งละ 2-5 คูนา แต่ถ้าเข้าตามปั้มน้ำมันที่มีซุปเปอร์มาเก็ตด้วยจะไม่เสียเงิน

Rastoke Village หมู่บ้านเล็กๆ ในเขต Slunj บ้านเรือนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านแห่งนี้ถูกสร้างในตอนปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ปัจจุบันมีบ้านของชาวพื้นเมืองประมาณ 30 หลังคาเรือน

หมู่บ้าน ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำสลุนด์ชิชา “Slunjcica River” ที่ไหลลงสู่ น้้าตกโคราน่า “Korana Waterfall”

เราเดินเล่นสักพักไกด์ก็เอาบัตรเข้าชมให้พวกเรา ค่าเข้าชม 30 คูนา ไกด์บอกเราว่าเขาพึ่งเก็บเมือ 1 เมษายน 2558

ไปเดินเล่นกันได้แล้ว

น้ำแรงมากเลย

บ้านพวกนี้เป็นของชาวบ้านที่อยู่บริเวณนี้ ส่วนใหญ่จะทำบ้านเช่าให้นักท่องเที่ยวมาพัก

อยากมีบ้านอย่างนี้บ้าง บ้านที่อยู่บนน้ำตก…น่าจะมีความสุข

เห็นแล้วน่าว่ายน้ำเล่นจัง..

หลังจากชื่นชมธรรมชาติสักพัก พวกเราก็เดินทางกลับโรงแรม Macola Hotel อยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติพลิทวิตเซ่ ซึ่งพวกเราจะไปเที่ยวกันวันพรุ่งนี้

โรงแรมที่เราพัก มี supermarket อยู่ด้านหลังด้วยชื่อห้าง Konzum จะเห็นทั่วทุกระแหงของประเทศ

ช่วงรอ check in พวกเราเดินเล่นถ่ายรูปในโรงแรมก่อนเพราะโรงแรมนี้สตาฟสัตว์หลากหลาย เช่นหมี กระต่ายและตัวคูนา

อาจเป็นเพราะที่นี่อยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิตเซ่ ที่มีหมีมาก จึงมีซากหมีสตาฟอยู่ในโรงแรมหลายๆตัว

คูนาหรือ มาร์เทิน(Marten) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอยู่ในตระกูลเดียวกับหมาไม้ พังพอน มีลำตัวเพรียวยาว ส่วนใบหน้าคลายกับสุนัข ใบหูมีขนาดกลมเล็ก หางยาวเป็นพวง มีอุ้งเท้าที่หนาและมีกรงเล็บที่แหลมคม มีขนาดลำตัวและน้ำหนักพอ ๆ กับแมว

ตัวคูนา ซึ่งเป็นสัตว์ประจำชาติของโครเอเชีย

มื้อเย็นเราทานอาหารพื้นเมืองกัน อยากบอกว่าไอศครีมที่ประเทศนี้หวานมาก

หลังทานอาหารเย็นพวกเราก็ไปเดินเล่นต่อที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ของที่นี่มีหลากหลายโดยเฉพาะไวน์ ซ็อกโกแลตและที่สำคัญราคาไม่แพงเลย..พวกเราทยอยซื้อของฝากบางส่วนไปก่อน ซุปเปอร์มาร์เกตส่วนใหญ่ปิดเวลา 21.00 น.

อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิตเซ่ และเมืองซาดาร์

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here