ดูบรอฟนิค
9 พฤษภาคม 2558
เช้านี้มีอารมณ์ยังไม่อยากกลับประเทศไทย เพราะยังสนุกอยู่เลย ….อย่างที่เขาว่าเวลาเที่ยวมักจะรวดเร็วจริงๆด้วย..หลังสลัดอารมณ์อาลัยอาวรณ์แล้วเราก็เดินออกไปรับประทานอาหารเช้าและถ่ายรูปวิวสวยๆของโรงแรมดีกว่า
พวกเรามาทานอาหารเช้าบริเวณนี้และนั่งชมวิวสวยๆกัน พวกเราถ่ายรูปเก็บความทรงจำที่สวยงามไว้
จากนั้นพวกเราก็เดินทางมาที่ยวเมืองเก่ากัน
ดูบรอฟนิค(Dubrovnik) ตั้งอยู่ในเขตดัลมาเชียตอนใต้สุดของประเทศโครเอเชีย เป็นเมืองโบราณที่มีกำแพงเมืองและป้อมปราการล้อมรอบที่งดงามโดดเด่นอยู่ริม ชายฝั่งทะเลอะเดรียติก และยังคงสภาพของเมืองสมัยเรอเนสซองส์ คริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม และได้รับการยอมรับว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองเก่าที่สวยที่สุดในทวีปยุโรปจนทำให้ได้รับฉายาว่าเป็นไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติค
เส้นทางจากโรงแรมไปยังเมืองเก่า ดูงดงาม
รถขับผ่านกำแพงเมืองดูอลังการ
กำแพงเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 เพื่อใช้ป้องกันการรุกรานจากศัตรูเช่นชาวอาหรับ ชาวเวเนเชี่ยน ชาวมาเซโดเนี่ยน และชาวเซิร์บ กำแพงเมืองมีความยาวประมาณ 1,940 เมตร สูง 25 เมตร สร้างจากหินและถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 ของกำแพงเมืองหินยุคกลางใหม่ (Late Medieval Period) ที่สวยงามที่สุดในโลก…. ยิ่งชวนให้พวกเรารีบไปดูใกล้ๆ
รถบัสมาส่งพวกเราบริเวณนี้
เมืองเก่า (Old Town) ในเขตเมืองเก่ามีสิ่งก่อสร้างได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ. 1979
พวกเราเดินลงมา Department Point ( Polazna Stanica) บริเวณนี้มีรถจอดรับ ส่งนักท่องเที่ยวมากมาย
พวกเราเก็บวิวที่อยู่บริเวณนี้และเดินไปทางด้านหลังซึ่งเป็นทะเล มองเห็นป้อมใหญ่ๆอยู่ทั้งด้านขวาและซ้าย
ป้อมทรงกลมทึบตัน สร้างขึ้นระหว่างปี 1461 – 1463 ป้องกันเมืองจากศัตรูด้าน Pile Gate
St. Lawrence Fortress ป้อมอยู่นอกเมืองทางด้านตะวันตกป้องกันการรุกรานทั้งทางบกและทะเล มักเรียกกันว่า Dubrovnik’s Gibraltar ตัวป้อมแยกตั้งอยู่นอกกำแพงบนหินผารูปสามเหลี่ยม สูงจากระดับน้ำทะเล 37 ม.
ทางเข้าประตูเมืองมี 3 ด้าน
1. Gate of Pile
2. Gate of Ploce
3. Gate of Buza
พวกเรายืนรอสักพักไกด์ก็มา ไปสำรวจเมืองกันได้แล้ว
เช้าๆอย่างนี้คนยังไม่เยอะมากเท่าใด
จุดเด่นของเมืองดูบรอฟนิค มีกําแพงยาวสลับด้วยหอรบ 5 หอ หอคอยทรงกลม 3 หอ และทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสี่เหลี่ยมผืนผ้า 12 หอ ได้ชื่อว่ามีความมั่นคงและแข็งแกร่งที่สุดในน่านน้ำนี้ ในช่วงที่มีการขยายอํานาจของอาณาจักรออตโตมัน กําแพงเมืองที่มี ความหนา 3 เมตร ได้รับการเสริมเพิ่มเติมเป็น 6 เมตร แต่ดูบรอฟนิคต้องประสบกับภัยทางธรรมชาติ ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1667 มีคน เสียชีวิตกว่า 5,000 คน ทําให้ตัวเมืองเสียหายมาก แต่ทว่ากําแพงยังคงอยู่ และ ประสบภัยอีกครั้งจากสงคราม ถูกถล่มโดยจรวดของกองทัพยูโกสลาเวียในปี ค.ศ.1991 แต่ความเสียหายในส่วนนี้ได้รับเงินทุนสนับสนุนในการซ่อมแซมจาก องค์การยูเนสโก
เราเดินตามแผนที่เส้นสีชมพูซึ่งก็คือถนน Stradun หลังจากนั้นก็เดินเลียบชายทะเลเส้นสีส้มเพื่อขึ้นไปชมวิวกำแพงเมืองที่ Fort St. Luke ที่มีเครื่องหมายดาวในแผนที่
ประตูเมือง Pile Gate ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกและพื้นทางเดินสร้างขึ้นจากหินในปี 1537
นักบุญเบลส( St Blaise ) ท่านเป็นแพทย์รักษาโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคในช่องคอ ตำนานเล่าว่าท่านได้ช่วยรักษาเด็กให้รอดชีวิตจากการสำลักก้างปลา และได้บวชเป็นพระต่อมามีคำสั่งของจักรพรรดิโรมัน Licinius ให้ฆ่าพวกคริสเตียนท่านจึงถูกคุมขัง ทรมาน และถูกตัดศรีษ
ต่อมามีการรุกรานของพวกเวนีส ท่านมาปรากฎกายเป็นชายแก่ เครายาว ให้แก่ Stojko พระแห่งโบสถ์ St. Stephen บอกว่าท่านคือใคร แและมาเพื่อเตือนแผนการร้ายทำให้รอดพ้นต่อพวกเวนิส ดังนั้นชาวเมืองจึงยกย่องท่านเป็น ผู้อุปถัมภ์พิทักษ์เมือง จึงเห็นรูปท่านตามป้อมและประตูเมือง
จะเห็นรูปท่านนักบุญเบลส สถิตปกปักอยู่ตามป้อมและประตูกำแพง
ทางเดินเข้าไปภายในกำแพง
มีร้านเล็กๆน่านั่งเล่น
น้ำพุโบราณทรงกลม (Onfrio Fountain) เป็นน้ำพุที่ใช้หล่อเลี้ยงประชากรในยามสงครามโดยนำน้ำจากภูเขาเข้ามาเก็บไว้ในนี้
และด้านตรงข้ามเป็นโบสถ์ Church of the Saviour สไตล์เรเนซองส์สร้างแล้วเสร็จในปี 1528
พวกเราเดินเข้ามาทางถนน Stradun ถนนสายตรงเชื่อมฟากตะวันออก-ตะวันตกของเมือง ความยาว 292 เมตรข้างทางจะเป็น ร้านขายของที่ระลึก ศาลากลางและโรงละคร พระราชวังสปอนซ่า(Sponza Palace) วังเจ้าเมือง(Rector’s palace) และมหาวิหาร
วันนี้มีงานวิ่งการกุศล… เซ็งจังเพราะไกด์บอกว่าเขาจะเปิดให้ขึ้นกำแพง 11.00 น. ซึ่งทำให้เรามีเวลาเดินชมวิวบนกำแพงแค่ 1 ชั่วโมงเพราะไกด์นัดเราออกเดินทางจากเมืองนี้เวลา 12.15 น.เพื่อขึ้นเครื่องบิน
พวกเราเดินมาจนถึงบริเวณหัวโค้งถนน Stradun ก็เจอกับ Sponza Palace
Sponza Palace สร้างในต้นศตวรรษที่ 14 แต่เดิมคือศุลกากรของเมืองที่เก็บภาษีจากการค้าขายสินค้าทางเรือ ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่เก็บรักษาเอกสารโบราณที่สําคัญๆ
อาคารด้านหน้าเป็นพระราชวังสปอนซ่า ศิลปะสไตล์โกธิคและเรเนซองส์
มีหอระฆังอยู่ข้างๆ หอระฆังและนาฬิกา สร้างในปี 1444 สูง 31 เมตร ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวและพังทลายลง ได้สร้างขึ้นมาใหม่ในปี1952
ข้างบนหอระฆังมีรูปปั้นชาย2 คน( Maro and Baro) กำลังใช้ฆ้อนตีระฆังอยู่
Rector’s Palace อยู่ด้านข้างถัดไปเป็นพิพิธภัณฑ์ และมหาวิหารอยู่ด้านหน้า
Rector’s Palace สร้างเมื่อราวปี 1272 เป็นที่พักของเจ้าเมืองแล้วยังเป็นที่ทำการของสาธารณรัฐ ออกแบบตามแบบของวังของจักรพรรดิโรมันและเวนิส ต่อมาได้ถูกทำลายลงจากอุบัติเหตุดินปืนระเบิดที่ชั้นล่างสุดในปี 1435 และถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยฝีมือนายช่าง Onofrio de la Cava จากเนเปิล (ผู้นี้ที่มีผลงานการวางระบบประปาและสร้างน้ำพุในดูบรอฟนิคช่วงปี 1435 – 1440)
หน้าวังจะเห็นเสากลมแบบโกธิคสวยสะดุดตา
หัวเสาสลักลายรูปทรงงดงาม
จากนั้นพวกเราเข้าไปชมด้านใน Rector’s Palace
Rector’s palace เป็นที่อยู่และที่ทำงานของเจ้าเมืองเรียกว่า Rector มาจากการเลือกตั้งจากสมาชิกในครอบครัวชนชั้นสูง โดยจะอยู่ในตำแหน่งเพียงหนึ่งเดือน เนื่องจากคณะผู้บริหารเชื่อตามหลักปรัชญาที่ว่า power corrupts ดังนั้นผู้ที่ได้รับอำนาจจึงไม่ควรครองอำนาจอยู่นานนัก
Rector ต้องแยกจากครอบครัวมาพำนักและทำงานอยู่ในวังเพียงลำพัง และหลังออกจากตำแหน่งไปได้ครบสองปีแล้วจึงจะมีสิทธิ์รับเลือกตั้งมาดำรงตำแหน่งใหม่ได้อีก
ใต้บันไดเป็นน้ำพุใต้โค้งสไตล์เวนิสโกธิค
บันไดบารอคนี้สร้างขึ้นหลังจากแผ่นดินไหวปี 1520 พร้อมราว”มือ”จับ
ไกด์บรรยายภายในห้องต่างๆปัจจุบันชั้นนี้เป็นที่จัดแสดงสิ่งของ เช่น นาฬิกา ข้าวของเครื่องใช้ ตู้เอกสาร ภาพวาดรูปเหมือนของบุคคลสำคัญแห่งดูบรอฟนิค ภาพวาดจากศตวรรษที่ 14, 16
เขาห้ามถ่ายรูปภายในห้อง
ระหว่างเดินฟังไกด์บรรยาย แอบเปิดหน้าต่างและถ่ายรูปตึก
และมหาวิหาร Dubrovnik Cathedral อยู่ข้างๆ
วังชั้นบนรายล้อมด้วยเสางดงาม และตรงกลางระหว่างช่องโค้งปิดผนังมองเห็นสัญญลักษณ์ตราเมืองและนาฬิกา
ด้านข้างของ Rector’s palace เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดง เหรียญผลิตจากโรงกษาปณ์ ตรา อาวุธโบราณ เครื่องแต่งกายชาย พวกเราเดินเข้าไปดูสักหน่อย.. แต่เขาหัามถ่ายรูป
พวกเราเดินเข้าไปชมมหาวิหาร Dubrovnik Cathedral
Dubrovnik Cathedral วิหารโรมันแคธอลิค สไตล์ โรมาเนสค์ (Romanesque) สร้างในศตวรรษที่ 12 ประวัติบันทึกไว้ว่า พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ (The English king Richard the Lion Heart )เคยประสบเหตุเรืออัปปางใกล้เกาะ Lokrum เมื่อครั้งกลับจากสงครามครูเสดครั้งที่สามในปี 1192 และหลังจากนั้นท่านได้พระราชทานเงินบางส่วนเพื่อสร้างมหาวิหารแห่งนี้
วิหารหลังนี้สร้างขึ้นมาใหม่แทนวิหารเดิมที่ถูกทำลายเนื่องแผ่นดินไหวในปี 1667
ด้านบนประดิษฐานรูปสลักนักบุญสิบท่านยืนรายเรียง
จากนั้นพวกเราออกมาชมวิวทะเลบริเวณท่าเรือเก่า The Old Port
ออกมาเจอกับท่าเรือ
มองเห็นวิวทะเลอันสวยงาม
มองย้อนขึ้นไปเห็นป้อม Revelin หอคอย St Luke และหอระฆัง (Bell Tower)
เห็นสะพานจากประตูเมือง Ploce ทอดไปยังป้อม Revelin…เดี๋ยวเราก็จะต้องเดินผ่านตรงนั้นเช่นกัน
สันเขื่อนยื่นยาวกันคลื่นลมสร้างขึ้นในปี 1873
ภายในชั้นล่าง เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและชั้นบน Maritime Museum จัดแสดงประวัติเรือเดินสมุทรและพาณิชย์นาวีที่เกรียงไกรของดูบรอฟนิค
เดินเข้าไปใกล้ๆ
จะเห็นรูปท่านนักบุญเบลสบนกำแพงตลอด
กล้องวางไม่ลงเลย
การขึ้นชมดูวิวของเมืองมีทั้งแบบเดินบนกำแพงเมืองและขึ้น Cable car
พวกเราเลือกเดินมาขึ้นกำแพงเมืองเพื่อชมวิว
พวกเราเดินผ่านประตูนี้เพื่อเดินทางไปขึ้นกำแพง
ทางขึ้นชมกำแพงมี 3 จุดได้แก่
1. บน ถนน Stradun ประตู Pile gate
2. ทาง Fort St. Johns และ Fort St. Luke
3. ทาง Od sv. Dominika street.
การเดินชมกำแพงมี 2 ฝั่งคือ Ocean side และ Land side ไกด์แนะนำว่าถ้ามีเวลาน้อยให้เลือกชม Ocean side ก่อนเพราะวิวสวยกว่า… แต่ถ้าต้องการเดินจนครบต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งหมายความว่า จะต้องไม่หยุดพักเลย
ได้ตั๋วมาแล้ว ค่าเข้าชม 100 คูนา เราขึ้นกำแพงตรงจุดหมายเลข 3 ซึ่งเป็นฝั่ง Land Side
พวกเราเดินขึ้นกำแพงเวลา 11.00 น. ทาง Fort St. Luke เหลือเวลาเดินแค่ 1 ชั่วโมง ก็เลยตัดสินใจลุ้นดูว่าถ้าเวลาไม่พอจะเดินแค่ครึ่งรอบก็ได้ เพราะทางขึ้นลงชมวิวกำแพงมี 3จุดอยากลงตรงไหนก็ได้
วิวสวยจริงๆ คุ้มค่ากับที่ขึ้นมา
ซูมให้ใหญ่ขึ้นหน่อย
มุมนี้ก็สวย
หลังคาสีส้มตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าดูสวยงาม
บนนี้แดดร้อนแรงมากแต่เราก็ไม่ย่อท้อ
เห็นกำแพงยาวและป้อม St. Lawrence Fortress
มองลงมาเห็นถนน
บนนี้มีสนามบาสเกตบอลด้วย
มองลงมาเห็นน้ำพุโบราณ (Onfrio Fountain)
พวกเราเดินมาถึงฝั่ง Ocean side แล้ว แต่เวลายังเหลืออีกครึ่งชั่วโมง จึงตัดสินใจกันเดินให้ครบรอบดีกว่า..เพราะไหนๆก็ขึ้นมาแล้ว
มีเก้าอี้ให้นั่งพัก..แต่เราพักไม่ได้ ต้องเดินต่อไป
อีกวิวสวยๆ
เห็นจุดจอดรถที่มาส่งเรา
การเดินบนกำแพงไม่มีร่มเงาให้หลบเลย ต้องเดินตากแดดตากลมตลอด
รูปสุดท้ายก่อนลงจากกำแพง
เราคิดว่าฝั่ง Land Side สวยกว่าฝั่ง Ocean Side นะ อาจจะเพราะบ้านเรามีวิวทะเลเยอะแล้วก็ได้ ดังนั้นเราจึงดีใจมากเลยที่ไม่เชื่อไกด์เดินแค่ Ocean Side อย่างเดียว ไม่งั้นคงอดเห็นวิวสวยๆเช่นนี้
พวกเราเดินครบรอบ 1 ชั่วโมงพอดี และก็มีเวลาเดินเล่นอีกเล็กน้อยแต่ก็ไม่สามารถทานมื้อกลางวันได้ จึงเลือกทานไอศครีมเป็นอาหารเที่ยงแทน จากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางไปสนามบิน
รถค่อยๆออกจากดูบรอฟนิค แต่วิวข้างหลังยังสวยอยู่เลย
รถจอดแวะให้พวกเราถ่ายรูปจุดชมวิวสวยๆของเมือง
เก็บความประทับใจสุดๆ
พวกเรามาขึ้นเครื่องที่สนามบินดูบรอฟนิค ระยะทาง 16 กิโลเมตร ใช้เวลา 15 นาที เราออกเดินทางสู่สนามบินเวียนนาที่เที่ยวบิน OS 732
พวกเราขึ้นเครื่องบินที่สนามบินท่ามกลางธรรมชาติ งดงาม
ใช้เวลาเดินทางจากดูบรอฟนิคสู่เวียนนา 1.30 ชั่วโมง จากนั้นเราต่อเครื่องไปยังกรุงเทพที่เที่ยวบิน OS 015 ใช้เวลาเดินทาง 10 ชั่วโมง
การมาเที่ยวครั้งนี้สนุกมาก โดยเฉพาะธรรมชาติและบ้านเมืองที่งดงาม.. สมกับที่เพื่อนๆหลายคนชมนักชมหนาว่าในชีวิตควรจะมาสักครั้งหนึ่ง