พุกาม

13 มกราคม 2560

คลิกก่อนหน้านี้ ย่างกุ้ง

“มิงกะลาบา” สวัสดีตอนเช้าจ้า วันนี้เราจะไปเที่ยวเมืองย้อนยุคเมื่อ 1,000 กว่าปี

เราตื่นตี 4 อาบน้ำแต่งตัวออกจากโรงแรมตี 5 เช้าอย่างนี้รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ ใช้เวลาไปสนามบินย่างกุ้งประมาณ 20 นาที

พวกเราไปรอขึ้นเครื่องที่สนามบินภายในประเทศ ไกด์บอกว่าสนามบินนี้พึ่งเปิดใหม่ พวกเราโชคดีได้ใช้สนามบินใหม่กัน สนามบินภายในประเทศใหม่ทันสมัยและสะอาดสะอ้านดี

พวกเราเข้ามาภายในสนามบิน ไกด์ก็แจกอาหารกล่องให้พวกเรา มีเค็ก ขนมปังและกล้วยหอม แต่ยังเช้าไปเรายังไม่อยากกิน และง่วงมากจึงนอนรอเพื่อจะขึ้นเครื่อง พวกเราเดินทางสายการบิน KBZ airline เครื่องจะออกเวลา 08.15 น.

พวกเราขึ้นเครื่องบินลำเล็กแบบใบพัด สายการบินนี้มีอาหารกล่อง ชากาแฟ เสริฟบนเครื่องบินด้วย

ใช้เวลาในการบิน 45 นาที ถึงสนามบินยองอูเวลา 09.00 น.

มองวิวจากบนเครื่องบิน เห็นว่าพุกามค่อนข้างแล้ง มีแต่ภูเขาและทราย แต่ใกล้ๆตัวเมืองพุกามเริ่มมีต้นไม้เขียวๆให้เห็น

พุกามอาณาจักรโบราณในช่วง พ.ศ. 1587 – พ.ศ. 1830 รวมระยะเวลา 243 ปี มีกษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น 11 องค์

เดิมทีพุกามเป็นเมืองเล็กๆ ในยุคของพระเจ้าอโนรธามังช่อ ได้มีพระนิกายเถรวาทองค์นึงมาเผยแพร่ธรรมให้แก่พระเจ้าอโนรธาทำให้พระองค์เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก จึงได้เดินทางเพื่อไปขอพระไตรปิฎกกับพระเจ้ามนูหะ ที่เมืองสะเทิม(มอญ)
แต่พระเจ้ามนูหะไม่ให้แถมต่อว่ากลับมาด้วย ทำให้พระเจ้าอโนรธาโกรธ จึงตีเมืองสะเทิมแตกและได้นำพระไตรปิฎก รวมทั้ง พระ ช่างฝีมือดี และทาสอีกนับหมื่นกลับมาที่พุกาม และได้มีการปลูกสร้างเจดีย์ขึ้นมากมาย เล่ากันว่ากษัตริย์ทุกองค์ล้วนมีความศัรทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากจึงนิยามสร้างเจดีย์ เพื่อสร้างเสริมศิริมงคลในรัชกาลของตนเอง

เมื่อมาถึงยุคตกต่ำของพุกาม ตำนานเล่าว่า ในยุคของพระเจ้านรสีหบดี ทรงให้สร้างเจดีย์ชื่อมิงกาลาเจดีย์ และได้เกิดมีคำทำนายว่าถ้าเจดีย์แห่งนี้สร้างเสร็จเมื่อไหร่จะถึงจุดจบของพุกาม และหลังจากเจดีย์สร้างเสร็จได้ไม่นาน กองทัพมองโกลโดยกุ๊บไลข่านก็เข้ามารุกรานพุกาม จนนำไปสู่ความล่มสลายของอาณาจักรพุกามและกลายเป็นเมืองร้างในที่สุด

ไกด์บอกว่าทีพุกามปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ เมืองเก่าและเมืองใหม่ พวกเจดีย์ต่างๆอยู่ในส่วนของเมืองเก่า ส่วนโรงแรมที่พักอยู่ในเมืองใหม่ รัฐบาลพม่าเคยเสนอเมืองพุกามเป็นมรดกโลก แต่ยังไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้เพราะมีสิ่งก่อสร้างเช่นโรงแรม สนามกอล์ฟ บริเวณใกล้ๆกับเจดีย์ จึงไม่สามารถขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกได้

ที่แรกที่พวกเราไปเที่ยวคือตลาดยองอู ( Nyaung uo Market) ตลาดเช้าอยู่ในเขตเมืองใหม่ เป็นตลาดที่ขายของหลายอย่าง เช่นอาหาร ผัก ผลไม้ ดอกไม้ ปลาแห้ง ผ้านุ่ง ทานาคา ของที่ระลึกพื้นเมือง ของฝากและอื่นๆอีกมาก

คนเดินตลาดกันคึกคักมีทั้งชาวพม่าและชาวต่างชาติ

ผักผลไม้หลากหลายคล้ายๆกับบ้านเรา มีแปลกๆบ้างบางอย่าง

ดอกไม้ก็คล้ายๆบ้านเรา

ทานาคามีกลิ่นหอมและเป็นสมุนไพรสารพัดประโยชน์ การนำทานาคามาใช้จะเลือกต้นทานาคาที่มีอายุราวๆ 35 ปี ตัดเป็นท่อนๆ ขนาดพอดีมือ แล้วใช้ส่วนของเปลือกไม้ไปฝนหรือบดกับหินขัดพร้อมพรมน้ำเป็นระยะ จะได้ออกมาเป็นผงสีออกขาวเหลือง ใช้ทาหน้า ทาตัว มีสรรพคุณในการดูแลผิวหน้า สาวๆมักจะนำมาทาหน้ากัน

มีแม่ค้าออกมาห้อมล้อมขายผ้าซิ่น ให้พวกเราลองใส่ บอกราคาผ่านเยอะมาก 2,000 จ้าด แต่ต่อเหลือ 1,000 จ้าด เราเลยหลวมตัวซื้อมา 1 ผืน พอเห็นเราซื้อแล้วอีกร้านขาย 700 จ้าด แสดงว่าสามารถต่อได้อีก แต่พอเอากลับมาซักที่บ้านปรากฏว่าตกสีหมดเลย

พุกามได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ หรือ ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์ เพราะในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ แต่ทุกวันนี้หลงเหลืออยู่เพียง 2 พันกว่าองค์เท่านั้น เพราะเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา

วันนี้ไกด์พาเที่ยวชมเจดีย์ทั้งหมด 6 ที่ตาม ดาวสีแดง เจดีย์จะอยู่ใกล้ๆกัน ซึ่งไกด์บอกว่าถอดรองเท้าแล้วไม่ต้องเช็ดขาเลยตลอดวัน เพราะพอขึ้นรถมา 5 นาทีก็ลงอีกแล้ว

สถานที่ต่อไปที่เราจะไปเที่ยวคือเจดีย์ชเวชีกองเป็นเจดีย์แห่งแรกของเมืองพุกามและเป็น 1 ใน 5 ของมหาเจดีย์ที่ชาวพม่าให้ความเคารพศรัทธาเป็นอย่างมาก

เจดีย์ชเวซีกอง( Shwezigon Pagoda ) มีหมายความว่า “เจดีย์ทองแห่งชัยชนะ” (ชเว = ทอง) สร้างโดย พระเจ้าอโนรธามังช่อ ผู้รวบรวมชนชาติพม่าเป็นปึกแผ่นได้เป็นครั้งแรก แต่แล้วเสร็จในรัชกาลพระเจ้าจานสิตาแห่งอาณาจักรพุกาม ราว 960 ปีก่อน ภายในเจดีย์เชื่อว่าบรรจุพระเขี้ยวแก้วและพระสารีริกธาตุ โดยอัญเชิญมาจากลังกา บนหลังช้างเผือก พระเจ้าอโนรธามังช่อได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าช้างเผือกคุกเข่าลงที่ใด จะสร้างเจดีย์ไว้ที่นั่น

ศิลปะและรูปทรงเจดีย์ได้อิทธิพลมาจากมอญเพราะ เมื่อทรงทัพไปตีมอญได้แล้วทรงกวาดต้อนชาวมอญ ตลอดจนช่างฝีมือ นักปราชญ์ และ ราชบัณฑิตมาที่เมืองพุกาม ทำให้พม่าได้รับอิทธิพลศิลปวัฒนธรรมจากมอญมาโดยไม่รู้ตัว

เจดีย์ชเวซีกองเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำแบบมอญ พื้นผิวภายนอกถูกปิดด้วยทองคำเปลว ปัจจุบันมีความสูงราว 53 เมตร หรือ 160 ฟุต มีลวดลายปูนปั้นอยู่ 3 แถว และมีเจดีย์เล็ก ๆ เป็นบริวารอยู่รายรอบ

เจดีย์ชเวซีกองถูกบูรณะในสมัยต่อมาอีกหลายครั้ง

มีความสวยงามอยู่มาก ถึงแม้จะมีการบูรณะ

ไกด์บอกว่า ถ้ามองที่แอ่งน้ำเล็กๆนี้จะเห็นยอดเจดีย์พอดี

ดังนั้นจึงมีไทยมุมเกิดขึ้น รุมดูกันใหญ่เลย

บริเวณอาคารมีรูปปั้นม้าขาวอยู่ ไกด์บอกว่าถ้าเราปวดเมื่อยตรงไหนให้มาลูบมาตรงจุดนั้น

หลังจากไหว้พระและลูบๆคลำๆม้าพักใหญ่ พวกเราก็ไปทัวร์กันต่อ

ไกด์ได้อธิบายความแตกต่างของคำเรียก เจดีย์ (pagoda)และ วิหาร (Temple )

ถ้าเป็นเจดีย์(pagoda) ข้างในจะเป็นทรงตันและเดินเข้าไปไม่ได้

วิหาร (Temple ) ข้างในโปร่งสามารถเดินเข้าไปชมภายในวิหารได้

เราไปชมวิหารทีโลมินโลกันต่อ

ทีโลมินโล วิหารฉัตรตั้ง แห่งเมืองพุกาม (htilominlo temple)

วิหารแห่งนี้สร้างในสมัยของ “พระเจ้านรปตีซีตู” รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์พุกาม พระองค์ได้ทรงสร้างเจดีย์จุฬามณี เป็นอารามหลวงประจำรัชกาล ครั้งถึงวาระแต่งตั้งองค์รัชทายาท โปรดฯให้ใช้ฉัตรเสี่ยงทาย ถ้าพระราชโอรสองค์ใดใน 5 พระองค์มีบุญบารมีจะเป็นกษัตริย์ก็ขอให้ฉัตรโน้มไปทางพระองค์นั้น จึงเรียกโอรสทั้งห้าพระองค์มานั่งล้อมวงกัน แล้วตั้งฉัตรอันเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ไว้ตรงกลาง หากฉัตรล้มลงแล้วปลายฉัตรชี้ไปที่ราชบุตรองค์ใดนั้น ก็จะทรงแต่งตั้งเป็นกษัตริย์สืบต่อไปจากพระองค์ ปรากฏว่าฉัตรโน้มไปทางเจ้าชายชัยสิงห์ ซึ่งต่อมาได้เป็นกษัตริย์ พระนาม “นาตองมยา” หรือ “พระเจ้าทีโลมินโล” ซึ่งแปลว่า “กษัตริย์ฉัตรตั้ง” เป็นรัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์พุกาม

วิหารแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นวิหารองค์สุดท้ายที่มีการสร้างในแบบสถาปัตยกรรมพุกาม สร้างแบบก่ออิฐถือปูน บนฐานกว้างด้านละ 43 เมตร องค์เจดีย์สูง 46 เมตร ภายในวิหารมีช่องบันไดเดินขึ้นสู่ระเบียงชั้นบนได้ ด้วยสถาปัตยกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงามทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะเจดีย์เล็กๆที่อยู่รอบวัด และลายปูนปั้นบริเวณฐาน รวมถึงกำแพงด้านนอก

ภายในวิหารมีพระพุทธรูป 4 องค์ที่ชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สองของวิหาร

รอบๆวิหารมีรูปปั้นในแบบต่างๆ

บริเวณนี้ลานกว้างและมีร้านขายของที่ระลึกและร้านขายรูปวาดที่วาดจากทรายแม่น้ำอิระวดีโดยมีศิลปินนั่งวาดรูปอยู่ ราคาต่อรองได้

เดินได้ไม่นานเพราะแดดร้อนมากๆ ไกด์พาเราไปรับประทานอาหารกลางวัน

ร้านอาหารที่พวกเราไปรับประทานวันนี้ชื่อร้าน Art of Bagan เป็นอาหารพื้นเมืองพม่า บรรยากาศดีมากเลย ติดริมแม่น้ำ

อาหารมีไข่เจียวใส่พริกด้วยเพราะมีรสชาติเผ็ด แกงฮังเล รสชาติอร่อย และมีน้ำพริกมะเขือ ใส่ถ้วยใหญ่มาก เราถามไกด์ว่าทำไมใส่ถ้วยใหญ่จัง ไกด์บอกว่าเพราะฝรั่งชอบทาน

เรานั่งทานและชมวิวอยู่นานจึงไปเที่ยวต่อ

นั่งรถไปเห็นเจดีย์เรียงรายไปหมด ไกด์เล่าให้ฟังว่าใครๆก็สร้างเจดีย์ได้ โดยกษัตริย์จะสร้างเจดีย์ที่ใหญ่ ตามด้วยเศรษฐี และประชาชนทั่วไปขนาดย่อมลงมา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง อยากจะสร้างตรงไหนก็สร้างได้เลยตรงที่ว่าง เราจึงเห็นเจดีย์เป็นพันๆองค์อย่างที่เห็น

เป้าหมายต่อไปร้านเครื่องเขิน โดยถือว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของพม่าเพราะเวลานักการเมืองหรือผู้นำประเทศจะมอบของที่ระลึกให้ทูตหรือแขกชาวต่างชาตินิยมมักจะให้เครื่องเขินกัน

ไกด์พาเราไปร้าน U BA NYEIN เป็นทั้งโรงงานและร้านขายเครื่องเขิน

ร้านมี 2 ฝั่ง ขวาเป็นโรงงาน ซ้ายเป็นถนน

ไกด์พาเรามาดูฝั่งโรงงานก่อนมีพนักงานทำงานกันขมักเขม้น
การทำเครื่องเขินมี 3 แบบคือ
1.ลงรักธรรมดา
2.ลงสีแบบละเอียด
3.ลงรักปิดทองคำแท้

ไกด์พาเรามาดูขั้นตอนการทำเครื่องเขิน
เรามาดูว่าขั้นตอนการทำเครื่องเขินว่าทำยากขนาดไหนกัน
1.จากไม้ไผ่มาสานเป็นลูก
2.ลงรัก
3.อบใต้ดินประมาณ 2 เดือน
4.ลงรักต่อ
5.ขัดโดยใช้กระดูกวัวมาขัดจนเงา
6.นำมากรีดแล้วลงสีแล้วลงสีซ้ำ ถ้าจะปิดทองก็อยู่ในขั้นตอนนี้

หลังดูเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็มาดูสินค้าอีกฝั่งหนึ่ง

สินค้ามีหลากหลาย เหมาะกับเป็นของโชว์และของฝาก เขาบอกว่าคนไทยลดให้ 10 %

พวกเราไม่ได้อะไรติดมือเช่นเคย อาจจะเพราะศิลปะคล้ายๆบ้านเราจึงไม่ถูกใจ

ไกด์พาพวกเราไปยังสถานที่ต่อไป วิหารอนันดา (Ananda Phaya) ได้รับการยกย่องว่าเป็นวิหารที่สวยที่สุด

วิหารนี้สร้างขี้นโดยพระเจ้าจานสิตาเป็นลูกชายของพระเจ้าอโนรธา กษัตริย์องค์ที่4 ของเมืองพุกาม พระองค์ทรงนับถือพระอรหันต์องค์หนึ่งจากป่าหิมพานต์ เนื่องจากพระองค์ต้องการสร้างวิหารเพื่อเสริมสร้างบารมีให้ตนเอง พระองค์ทรงถามว่าในป่าหิมพานต์ มีวิหารหรือเจดีย์อะไรที่สวยที่สุดไหม แล้วพระอรหันต์จึงวาดแบบให้ จากนั้นพระองค์ทรงสั่งคนมอญ คนพม่าให้มาออกแบบและสร้าง ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนในการก่อสร้าง สร้างเสร็จภายใน 5 ปีเมื่อปี ค.ศ. 1091

เราเดินเข้ามาเจอกับวิหารสีขาวที่สวยงามแต่กำลังบูรณะอยู่

หลังคามีรูปปั้นสิงห์เรียงราย ศิลปะของพม่ามักจะมีสิงห์ประดับประดาอยู่เสมอ ซึ่งเรียกว่าสิงห์ไถ่บาป โดยมีนิทานปะรำปะราเล่าว่า

มีราชสีห์ตัวหนึ่งลักพาเจ้าหญิงองค์หนึ่งเข้าไปในป่า เจ้าหญิงมีพระโอรสและพระธิดาที่ยังเป็นทารก ราชสีห์ก็เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ต่อมาพระโอรสพาพระมารดาและพระขนิษฐาหนีกลับพระราชวังได้ ฝ่ายราชสีห์จึงออกจากป่ามาตามหาด้วยใจผูกพัน ใครขวางทางก็จะถูกกัดตาย ร้อนถึงพระโอรสต้องออกมาปราบโดยยิงลูกศรกรอกปากราชสีห์ตาย แล้วได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าผู้ครองนครแต่จะทำการใดก็ให้ติดขัด ปุโรหิตจึงทูลว่าเพราะทรงมีบาปกรรมที่ฆ่าราชสีห์ผู้มีพระคุณ เจ้าผู้ครองนครองค์นั้นจึงทรงปวารณาว่าจะสร้างรูปราชสีห์เป็นการบูชาล้างบาปโดยฝากไว้ที่ประตูวัดหรือมุมเจดีย์ จนกลายเป็นประเพณีนิยมในการปั้นรูปสิงห์สืบมาเรียกกันอีกอย่างว่า “สิงห์ไถ่บาป”

รอบๆวิหาร มีเกาะสลักรูปปั้นลายนูนงดงามและอ่อนช้อย

ทางเดินด้านในค่อนข้างมืด มีช่องๆไว้ประดิษฐานพระพุทธรูปจากข้างล่างใหญ่ไปข้างบนเล็กไปเรื่อยๆ แต่มีช่องเล็กๆด้านบนสุดให้ความสว่าง

ในวิหารจะมีพระพุทธรูปสร้างด้วยไม้สัก1 ท่อน พระพุทธรูปสูง 9.5 เมตร ประดิษฐานอยู่ทั้งสี่ทิศ แทนองค์พระอดีตพุทธเจ้าทั้งสี่ประกอบด้วย และโดนไฟไหม้ไป 2 องค์

ประกอบด้วย
1. พระโคตมพุทธเจ้า ประจำทิศตะวันตก (สร้างใหม่)
2. พระกกุสันโธพุทธเจ้า ประจำทิศเหนือ (องค์เดิม)
3. พระกัสสปพุทธเจ้า ประจำทิศใต้ (องค์เดิม)
4. พระโกนาคมนพุทธเจ้า ประจำทิศตะวันออก (สร้างใหม่)

ไกด์บอกว่าจะมีพระพุทธรูปที่พิเศษอยู่องค์หนึ่งคือพระกกุสันโธพุทธเจ้า(ในรูปองค์ที่ 2) คือถ้าเรายืนอยู่ไกลๆจะมองเห็นพระองค์นี้หน้ายิ้ม ถ้ายืนอยู่ใกล้ๆจะมองเห็นหน้าองค์พระเป็นหน้านิ่งเฉย ซึ่งอาจจะเป็นกุสโลบาย เพราะสมัยก่อนคนพม่านับถือแต่พราหมณ์ ไม่มีใครอยากเข้าวัด จึงสร้างพระพุทธรูปเพื่อยิ้มต้อนรับคนที่อยู่ไกลๆ แต่พอเดินเข้ามาหน้านิ่งให้เห็นว่าท่านวางอุเบกขา

วิหารต่อไปเป็นวิหารธรรมยางจี( Dhamayangyi Thample)เป็นวิหารที่แข็งที่สุด

ผู้ที่สร้างวิหารแห่งนี้ชื่อ พระเจ้านราธู พระองค์ทรงสังหารพ่อของตนเองและแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ซะเอง หลังจากสังหารแล้วพระองค์ทรงอยากทำบุญเพื่อล้างบาปให้กับพ่อตนเอง จึงสร้างวิหารแห่งนี้ขึ้น

วิหารก่อสร้างด้วยอิฐแดงเป็นล้านๆก้อนมีลักษณะอาคารทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส พระองค์จะไปคุมการก่อสร้างด้วยตนเอง โดยเฉพาะการก่ออิฐต้องแนบแน่นสนิทกันและต้องไม่ให้มีรู พระเจ้านราธูจะทดสอบโดยเอาเข็มมาจิ้มลอดระหว่างรูอิฐสองก้อนต้องไม่สามารถแทงลงไปได้ ถ้ามีรูตรงไหนช่างที่ทำโดนจะตัดนิ้วหรือตัดมือทันที

แต่วิหารนี้สร้างไม่เสร็จ ท่านก็มาเสียชีวิตเสียก่อน เพราะท่านได้สังหารพระชายาซึ่งเป็นลูกกษัตริย์ชาวอินเดีย หลังจากนั้นกษัตริย์อินเดียได้ส่งทหารมาสังหารท่านเพื่อแก้แค้นให้ลูกสาวอีกที วิหารจึงไม่สมบูรณ์และไม่มีการฉาบปูนหรือประดับประดาอย่างอื่นเลย

วิหารแห่งนี้เสียหายจากแผ่นดินไหวค่อนข้างมาก

ภายในวิหารกว้างขวาง แต่ค่อนข้างมืด ดูแล้ววังเวง

เดินรอบๆวิหารแล้วพวกเราเข้าไปกราบพระพุทธรูปกัน

ขนาดสร้างไม่เสร็จก็ยังมีภาพพระพุทธรูปปูนเปียก อยู่ทั่วไป

ภายในวิหารหนาและแข็งแรงมาก มีหน้าต่างแบบนี้เต็มไปหมด

ออกมาข้างนอกมีร้านขายตุ๊กตาหุ่นเชิดขายมากมาย

ต่อไปเป็นวิหารวิหารสัพพัญญู (Thatbyinnyu Temple)เป็นวิหารที่สูงที่สุด

สร้างขึ้นในสมัย พระเจ้าอลองซีตู ในปี พ.ศ.1687

วิหารมีลักษณะเป็นวิหารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 180 ฟุต สูง 201 ฟุต

สร้างเลียนแบบวัดในอินเดีย มีความสูงถึง 5 ขั้น

ชั้นล่างเป็นที่สำหรับคฤหัสถ์พัก
ชั้นที่ 2 เป็นชั้นที่พักสำหรับพระสงฆ์
ชั้นที่ 3 มีมุขด้านหน้าเป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดหน้าตัก 3 ศอก พระประธานของวัด ..
ชั้นที่ 4 สำรับเก็บพระไตรปิฎก
ส่วนชั้นที่ 5 เป็นองค์สถูป ที่เชื่อกันว่าเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุ

วิหารแห่งนี้ได้รับความเสียหายอย่างมากเนื่องจากเกิดแผ่นดินไหว ทำให้พวกเราทำได้เพียงเดินรอบๆวิหารและไหว้พระข้างใน ไม่สามารถเข้าไปถึงชั้นในวิหารได้

ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป พวกเรากราบไหว้สักพักก็เดินทางต่อ

ความสวยงามของวิหารสัพพัญญู เมื่อถ่ายจากจุดชมวิว

เมื่อก่อนวิหารแห่งนี้เป็นวิหารที่ผู้คนมาดูพระอาทิตย์ตกดินกัน แต่ตอนนี้ทางการห้ามขึ้นไปบนวิหาร เพราะเกิดรอยร้าวและอาจจะพังลงมาได้ทุกเมื่อ นักท่องเที่ยวจึงไปดูที่เจดีย์ชเวซานดอแทน

เราเดินอย่างรวดเร็วและก็ไปชมจุดชมวิวที่เจดีย์ชเวซานดอ( Shwesandaw Pagoda )

เจดีย์แห่งนี้สร้างในสมัยพระเจ้าอโนรธามังช่อ เป็นเจดีย์ 5 ชั้น ชั่้นบนสุดบรรจุเกศาของพระพุทธเจ้า

พวกเราต้องเดินไต่ขี้นบันไดที่ชันขึ้นเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิว

มาถึงก็เจอนักท่องเที่ยวอยู่เต็มไปหมด

บันไดค่อนข้างชัน

เจดีย์นี้ให้ขึ้นชมวิวได้แค่ชั้น 3 แต่ไม่ว่าชั้น 2 หรือ 3 ก็สามารถเห็นทะเลเจดีย์และพระอาทิตย์ตกดินที่งดงามได้ ทะเลเจดีย์ช่างสวยงามจริง

เขาว่าให้หลับตาเอานิ้วจิ้มตรงไหนก็เจอแต่เจดีย์..จริงอย่างที่เขาว่ามา

ช่างสวยจริง

สวยไปหมด ถ่ายไปตรงไหนก็มีแต่เจดีย์

ตะวันใกล้ตกแล้ว

ถ่ายรูปเก็บแสงสุดท้ายของวัน

ช่างสวยงามจริง จากนั้นไกด์พาพวกเราไปรับประทานอาหารเย็นต่อ

ร้านอาหารที่พวกเราไปชื่อร้าน Nanda Restaurant เป็นร้านอาหารพื้นเมืองและมีการแสดงด้วย

ร้านอาหารมีการแสดงหุ่นกระบอกด้วย การแสดงสนุกดีนะ แต่พวกเราดูได้ไม่นานเพราะอยากกลับไปพักผ่อนแล้ว

อาหารมื้อนี้เป็นอาหารพื้นเมือง

คืนนี้พักที่โรงแรม Thazin Garden Hotel

รีสอร์ท 4 ดาว ห้องพักสวยงาม และตกแต่งอย่างดี เตียงนอนทาด้วยสีทองดูน่านอนมาก

วันนี้เราก็นอนเร็วอีกเพราะวันนี้ตื่นแต่เช้าแถมยังเดินทั้งวัน เพลียเลย..

เก็บแรงไว้พรุ่งนี้ไปเที่ยวมัณฑะเลย์ต่อ

ตอนต่อไป มัณฑะเลย์

1 ความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here