คอร์โดบ้า-เซวิลล์
พวกเราเดินทางจากมาดริดไปยังเมืองคอร์โดบ้า( Cordoba ) ระยะทาง 394 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 4 ชั่วโมง
คอร์โดบ้า (Cordoba) เมืองใหญ่เป็นอันดับ 3 ของแคว้นอันดาลูเซีย ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำ ฆัวตาลควิวีร์ (Guadalquivir) ถูกประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกและ เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมมุสลิมในสเปน
ในอดีต คอร์โดบ้าเป็นเมืองหน้าด่านในสงครามครูเสด จึงถูกสลับกัน ยึดครอง ระหว่างกองทัพอิสลาม และกองทัพคริสเตียน ก่อนที่จะตกเป็นของ กองทัพคริสเตียนในที่สุด
มองเห็นวิวแต่ไกลๆ สวยงามมาก
คอร์โดบ้าเคยเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด ของอาณาจักรโรมันในสเปนแห่งคาบสมุทรไอบีเรียน ศิลปะในเมืองนี้จึงเป็นแบบ ผสมผสานระหว่าง 2 อารยธรรมทั้งของโรมันและแขกมัวร์ คอร์โดบาเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยที่โดนปกครองด้วยอิสลามโดย เป็นศูนย์กลาง ทางอารยธรรมเคียงคู่คอนแสตนติโนเปิลและแบกแดด มีประชากรครึ่งล้านคน มัสยิด 3,000 แห่ง หอสมุดกว่า 70 แห่ง และสถานที่อาบน้ำสาธารณะอีกมากมาย
รถขับมาใกล้ๆเห็นสะพานโรมัน
นักท่องเที่ยวมักจะเที่ยวชม สุเหร่าเมซกีต้า( Mezquita Catedral ) และ Alcázar of Córdoba หรือปราสาทเก่าของเมือง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันสามารถเดินไปได้
โปรแกรมวันนี้เราเที่ยวชมสุเหร่าเมซกีต้า
รถมาส่งเราบริเวณประตูทางเข้า ประตูนี้เชื่อมอยู่บนสะพานส่งน้ำโรมัน
เป็นสุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของโลกมุสลิม จะเป็นรองก็เพียงสุเหร่าทีเมืองเมกกะ มีขนาดกว้าง 137 เมตร ยาว 174 ด้านในมีพื้นที่ถึง 24,000 ตารางเมตร
แผนที่สุเหร่าเมซกีต้า
ก่อนเราจะเข้าไปชมสุเหร่าเมซกีต้า( Mezquita Catedral )ไกด์พาพวกเราไปชมร้านค้าและบ้านเรือนในละแวกนี้กันก่อน
เราเดินผ่านกำแพงทอดยาว
สร้างโดยกษัตริย์แห่งมุสลิม อับด์ อัลรามันที่ 1 ประมาณปี ค.ศ. 784 และได้รับการต่อเติมไปเรื่อยๆกว่าจะเสร็จสิ้นใช้เวลา 200 ปี
เมื่อคอร์โดบาถูกปกครองโดยคริสเตียน กษัตริยชาร์ลส์ที่ 5 มีบัญชาให้สร้างโบสถ์รูปกางเขน แทรกลงในสุเหร่าแห่งนี้ โดยทรงตัดเสาออก 60 ต้นแล้วเพื่อเติมโบสถ์พระแม่มารีลงไป เมื่อ คศ.1523 ทำให้สุเหร่าแห่งนี้ก็ต้องกลายสภาพ มาเป็นโบสถ์ของชาวคริสต์ ซึ่งมีข่าวว่าหลังจากสร้างเสร็จพระองค์เสียใจมากเพราะทำให้ศิลปะเสียหาย
กำแพงสไตล์แขกมัวร์สวยงามแปลกตา
บรเวิณนี้มีซอยเล็กซอยน้อย มีบ้านเรือนร้านค้า ตกแต่งน่ารักดี
ร้านค้าทุกร้านตกแต่งด้วยกระบะปลูกดอกไม้ที่มีต้นเจอเรเนียมและกุหลาบเบ่งบานสะพรั่งก็ทำให้ผนังขาว ๆ ดูสดใสขึ้น
พัดแบบนี้จะมีเกือบทุกร้าน
ตุ๊กตาฟลามิงโก
เมื่อใกล้เวลาพวกเราก็เดินเข้าไปในสวนเพื่อที่จะชมสุหร่าเมชกีต้า
เขารักษาสวนอย่างดี ต้นสนสูงมาก
ได้ตั๋วมาแล้วไปเที่ยวชมกัน
สุเหร่ามี หลังคาโดมรูปเปลือกหอยตกแต่งอย่างวิจิตรและโดดเด่นด้วยซุ้มเป็นโดม ตามสถาปัตยกรรมแบบแขกมัวร์ (Morrish Style) มีเสาหินอ่อนถึง 850 ต้น
เสามีความสูง 4 เมตร และเสามีจำนวนมากเรียงซ้อนๆกันไปเรื่อยๆ ดูสวยงาม
บริเวณหัวเสาจะเห็นสีแดงสลับขาว โดยสีแดงทำจากอิฐส่วนสีขาวทำจากปูน เมื่อเดินดูไปเรื่อยๆจะเห็นหัวเสาแบบต่างๆมากมายเพราะมีการต่อเติมไปเรื่อยๆตามงบประมาณ
ภายในมีซุ้มสวดMihrab ประดับประดาด้วยโมเสก ซึ่งอยู่ตามผนังหันหน้าไปทางนครเมกกะ และเมื่อแหงนหน้าขึ้นไปจะเห็นมีฮ์ราบทรงแปดเหลี่ยมที่มีหลังคาโดมรูปเปลือกหอยประดับประดาด้วยโมเสกงดงาม
การตกแต่งสวยงามตามสไตล์แขกมัวร์
คล้ายๆพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม
บริเวณด้านนี้เป็นโบสถ์คริสต์มีศิลปะทั้งของโกธิคและเรเนซองส์
มีการผสมผสานศิลปะได้อย่างเหมาะเจาะ
มีความสูง 2.63 เมตร ทำจากทองคำหนัก 200 กิโลกรัม ใช้ประกอบพิธีสำคัญ บางทีนำแห่ทั่วเมือง
La custodia de Arfe
ออร์แกนท่อ (Church Pipe Organ)การเล่นออร์แกนในสมัยโบราณใช้แรงคนในการผลิตลม เมื่อลมถูกบังคับให้ไหลผ่านท่อที่มีขนาดต่างๆกันก็จะเกิดเสียงที่มีความถี่แตกต่างกัน ท่อที่ใช้ในการสร้างออร์แกนนั้น อาจจะเป็นไม้ หรือโลหะ ก็ได้ ซึ่งจะส่งผลให้มีเสียงที่แตกต่างกัน
ไกด์บรรยายไปสักพักเราก็เดินออกจากสุเหร่า
หอระฆังแบบคริสต์สูง 93 เมตร
จากนั้นพวกเราเดินข้ามสะพานเพื่อไปรับประทานอาหารเที่ยงกันโดยเดินข้ามสะพานโรมันกัน
Puente Romano สะพานโรมัน ทอดข้ามแม่น้ำกวาดัลกีบีร์(Guadalquivir) จะเห็นหอคอย Calahorra Tower สร้างในปี 1369 เพื่อป้องกันการลุกรานของศัตรู
บริเวณสะพานมีนักท่องเที่ยวเยอะมาก
เดินออกมาพ้นสะพาน…..ถ่ายรูปย้อนกลับไป
มื้อนี้รับประทานอาหารพื้นเมือง
หลังจากรับประทานนอาหารพื้นเมืองกันแล้วพวกเราก็ไปเที่ยวกันต่อที่เมืองเมืองเซบียา (Sevilla)
เดินทางจากคอร์โดบ้าไปยังเมืองเซบีย่า ระยะทาง 140 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง
เซบียา (Sevilla)เป็นเมืองทางใต้ของสเปน เป็นเมืองหลวงของแคว้น Andalucia
เป็นเมืองใหญ่อันดับ 4 ของสเปน เป็นเมืองมรดกโลก ตั้งอยู่บนแม่น้ำเดียวกันกับเมืองคอร์โดบ้า หลังจากที่สเปนยึดเมืองคอร์โดบ้าได้แล้วอีก 200 กว่าปีก็ยึดเมืองเซบีย่าตามมา
พวกเราเที่ยวชม ปลาซา เด เอสปันญา (Plaza de Espanga)เป็นสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่ ตั้งอยู่ในสวน Maria Luisa Park โดยที่จัตุรัสแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นมาในปี1929 เมื่อครั้งเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo (ครบรอบ500 ปีหลังจากที่โคลัมบัสพบอเมริกา) โดย นำเอาจุดเด่นของศิลปะการตกแต่งแต่ละยุคสมัยมารวมกันเช่นการตกแต่งแบบครึ่งวงกลม หอคอย Giralda น้ำพุและตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ
เป็นจัตุรัสโค้งรูปครึ่งวงกลมเรียงต่อกันเป็นแนวยาว แต่ละโค้งประตูติดตั้งตราประจำจังหวัดทำด้วยเซรามิกสวยงามมากๆ……โค้งแต่ละโค้งงดงาม
ภายในยังเป็นอาคารราชการอยู่
บริเวณด้านในอาคาร
ตราประจำจังหวัดทำด้วยเซรามิกสวยงามมากๆ
งดงามจริง
มีเรือพายให้นักท่องเที่ยวได้ชมทัศนียภาพ
จากนั้นพวกเราเดินทางต่อไปยัง Catedral de Sevilla มหาวิหารสไตล์ Gothic ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็น UNESCO World’s heritage อีกด้วย
บริเวณนี้มีรถไฟวิ่งผ่าน
มหาวิหารแห่ง Sevilla เป็นมหาวิหารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นรองแค่มหาวิหารที่นครวาติกัน และมหาวิหารเซนต์พอลที่อังกฤษ
เมืองเซบียา เคยถูกปกครองโดยพวกมัวร์เป็นเวลาหลายร้อยปีและได้มีการสร้างมัสยิดซึ่งมีหอสูงตั้งตระหง่านและเมื่อพวกมัวร์ถูกขับไล่ออกจากเมืองเซบียา ชาวเมืองก็รื้อทำลายมัสยิดของเมืองเพื่อสร้างมหาวิหารแห่งเซบียาแทน แต่หอสูงนี้งดงามจนชาวเมืองไม่อยากรื้อมัน ดังนั้นเขาจึงเก็บหอนี้ไว้ กลายเป็นหอระฆังของมหาวิหารและสร้างวิหารขึ้นข้างๆกัน
ราว ๆ 500 ปีที่แล้วมีแผ่นดินไหวในเซบีย่า ทุกอย่างหายไปหมดรวมทั้งกำแพงเมืองด้วย เหลือแต่เพียงหอระฆังGiralda และสวนส้ม
หอคอย Giralda ซึ่งเป็นหอระฆังสูง 105 เมตร ที่อีกเดี๋ยวเราจะปีนขึ้นไป
ทางขึ้นที่นี่เป็นทางลาด มี 34 ชั้น เดินได้ไม่ยากแต่ผู้สูงอายุอาจจะเหนื่อยหน่อย
มองเห็นวิวเมืองทั้งเมือง
มีลานแบบมัวร์เล็ก ๆ ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของมัสยิดเดิม ประดับประดาด้วยต้นส้มเป็นแถว ๆ สวนแบบนี้เป็นต้นแบบของลานอันดาลูเชีย มีคล้าย ๆกันอีกหลายแห่ง โดยต้นส้มแรกเริ่มเดิมทีพวกมัวร์นำเข้ามาในสเปนเป็นครั้งแรก และยังคงปลูกอยู่รอบเมือง แต่เนื่องจากมันมีรสขมดังนั้นจึงไม่นิยมรับประทาน มักใช้ทำแยมผิวส้มกัน
มุมอื่นบ้าง
หลังจากชมวิวเมือง เบียดเสียดผู้คน พวกเราก็เดินลงกัน
พวกเราเข้ามาภายในวิหารกัน…..ภายในกว้างขวาง
ซูมเข้ามาใกล้ๆ เป็นไม้แกะสลักปิดทอง ลวดลายละเอียดมากๆ
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส( Christopher Columbus) เป็นนักทำแผนที่ นักสำรวจ นักเดินเรือเป็นนักเดินเรือคนแรกที่ค้นพบทวีปอเมริกา เชื่อกันว่าน่าจะเป็นขาวอิตาลี่ ได้ รับการสนับสนุนจากสำนักราชวังสเปน โดยไปขอรับการอุปถัมภ์จากพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 5 และสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 1 แห่งอาณาจักรคาสตีล
มีกษัตริย์ของอาณาจักรทั้ง4 ของสเปนแบกโลงศพ เป็นการให้เกียรติ เพราะเป็นผู้นำดินแดนใหม่ ความมั่งคั่งมาสู่สเปน
ไกด์อธิบายว่าข้างในโลงคือกระดูกที่เชื่อว่าเป็นของโคลัมบัส พบว่ามีชิ้นส่วนอยู่160 กรัม ซึ่งนำกลับจากคาริบเบียนในปี 1899 แต่สาธารณรัฐคาริบเบียนอ้างว่ากระดูกจริงของโคลัมบัสฝังอยู่ในซานโต โดมิงโก ดังนั้น สเปนได้ทำการตรวจสอบดีเอ็นเอกระดูกในโบสถ์เซบิย่ามา ในปี 2004 นำไปเทียบดีเอ็นเอกระดูกของน้องชายโคลัมบัสที่ฝังในเซบีย่า และพิสูจน์ได้ว่ากระดูกในนี้เป็นของโคลัมบัส แต่บางทฤษฎีบอกว่าอาจจะเป็นได้ทั้ง 2 แบบก็ได้เพราะมีการเคลื่อนย้ายกระดูกทำให้กระดูกอยู่ทั้ง 2 ที่ก็เป็นได้
หลังจากเดินชมมหาวิหารได้พอสมควรพวกเราก็ออกมาถ่ายรูปข้างนอกกัน
บริเวณรอบๆมีรถม้าบริการนักท่องเที่ยว
ถ่ายรูปไปได้ไม่นาน ไกด์ก็ไล่ต้อนพวกเราไปทานอาหารเย็น มื้อนี้เป็นอาหารพื้นเมือง
อาหารสเปนมื้อนี้อร่อยดี ไม่เค็มอย่างที่เขาบอกมา
จากนั้นพวกเราก็กลับไปพักที่โรงแรม Trh Alcora Hotel
โรงแรมไม่มีน้ำให้ดื่มฟรี แต่โรงแรมอยู่ใกล้คาร์ฟูร์ พวกเราไปเดิน shopping เพื่อซื้อน้ำดื่มและขนม มาที่นี่ได้ของเพียบทั้งขนมและของฝากเพราะราคาไม่แพง shoping กันเพลินจนห้างปิด( ปิด 4 ทุ่ม )
โรงแรม 4 ดาวห้องใหญ่ดี โดยเฉพาะที่นอนนุ่มมาก คืนนี้นอนพักเตรียมแรงไว้พรุ่งนี้ไปเที่ยวโปรตุเกสกันต่อ