ก่อนหน้านี้ Antalya
ตื่นเช้ามาก็เดินมาชมพระอาทิตย์ยามเช้าจากระเบียงห้อง
หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้วรถก็แล่นผ่านเมือง Antalya อีกครั้ง
เราเดินทางไปเมืองเอสเพนโดส (Aspendos) ระยะทาง 45 กิโลเมตร ใช้เวลา 45 นาที
เมืองแอสเพนโดส (Aspendos) เป็นเมืองโบราณของพวกกรีกและโรมัน เป็นเมืองเก่าแก่ของดินแดนแพมฟีเลีย(Pamphylia) ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำยูรีเมดอน อยู่ห่างจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนประมาณ 16 กม.
เมืองนี้มีโบราณสถานที่มีชื่อเสียงและได้ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีคือโรงละครโรมัน (Roman Amphitheater)
โรงละคร Aspendos ถูกสร้างโดยชาวกรีกรูปแบบโรมัน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 155 ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของมาร์คัส ออเรลีอุส (Marcus Aurelius) โดยการออกแบบ ของคนพื้นเมืองชาวกรีกชื่อ เซนอน (Zenon) และมีเคล็ดลับในเรื่องระบบเสียงสะท้อนอันยอดเยี่ยม โดยถ้าทำเสียงกระทบด้านล่างจะสะท้อนได้ยินถึงชั้นบน
โรงละครมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 96เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 15,000 คน มีเวทีแสดงด้านหลังที่ถูกสร้างขึ้นหลายชั้นเหมือนกับอพาร์ตเม้นท์ มีห้องสำหรับนักแสดงเพื่อไว้เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย นอกจากนั้นทางด้านซ้ายและด้านขวายังมีทางที่ยื่นออกไปเหมือนกับระเบียงที่ติดต่อกับที่นั่ง ซึ่งด้านขวาจะเป็นส่วนที่นั่งสําหรับจักรพรรดิเท่านั้น
หลังจากที่กองคาราวานของพวกเซลจุกพักได้ที่นี่ ก็มีการต่อเดิมเพิ่มซุ้มประตูโค้ง รูปแบบของอิสลามเข้าไปทางด้านเหนือของปีกด้วย และมุสตาฟา เคมาล อะตาเติร์กก็ได้เสนอให้ใช้สถานที่ แห่งนี้จัดมวยปล้ําอีกด้วย
โชคดีวันนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่ ทำให้เราได้ถ่ายรูปเยอะมาก
กำแพงก็ยังสมบูรณ์
โรงละครโบราณที่ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แทบจะไม่ต่างจากเมื่อตอนถูกสร้างเลย ทุกวันนี้โรงละครแห่งนี้ก็ยังคงถูกใช้แสดงในงานสำคัญต่างๆ เช่นการแสดงคอนเสิร์ต ,โอเปร่า
เราใช้เวลาที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็เดินทางออกจากที่นี่
ทางออกจะต้องผ่านร้านขายของที่ระลึก มีหลาหลายมากทั้ง พวงกุญแจ ชามสวยๆ แก้วชา กาแฟ รูปปั้นเทพต่างๆ ให้เลือกซื้อ
จากนั้นพวกเราก็รับประทานอาหารเที่ยง มื้อนี้มีปลาย่างด้วย..อร่อยดี..
เขามีพริกให้ด้วย….พริกตุรกีไม่เผ็ดเท่าไหร่ …แต่ก็ทำให้ปลามีรสชาติดีขึ้น
จากนั้นไกด์ก็พาเราไปเก็บส้มสวนในส้มที่อยู่หลังร้านอาหารนี้ (การเก็บสวนส้มนี้แทนการไปเก็บสตอเบอรี่ที่ยังไม่ออกผลในช่วงนี้)
ส้มตุรกีไม่ค่อยหวานเท่าไหร่ ออกจะเปรี้ยวด้วย…
เราได้ส้มมา 4 ลูกเปรี้ยวทั้งหมดเลย
เราว่าชมสวนส้มยังสู้ไปดูต้นทับทิมที่อยู่หน้าร้านไม่ได้…ดูสีสันสวยงามน่าทานดี
ได้เวลาพอสมควรพวกเราก็ไปเมืองคอนย่ากัน
ระยะทาง 304 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทาง 4.30 ชั่วโมง
รถเขับขึ้นบนทางที่สูงเส้นทางเริ่มเปลี่ยนไป… ถนนสวยมากแปลกตาดี
ใบไม้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว…เสียดายถ้ามาช้ากว่านี้อีกสัก 2 อาทิตย์คงจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสี
เมืองคอนย่า (Konya) เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเซลจูค ในช่วงปี ค.ศ. 1071-1308 เป็นอาณาจักรแห่งแรกของพวกเติร์กบนแผ่นดินตุรกี เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางศาสนาคือ เป็นที่ตั้งของสุสานเมฟลานา ผู้เริ่มการทำสมาธิแบบลมวน ในแต่ละปีจึงมีผู้แสวงบุญมาเยือนที่นี่กันเป็นจำนวนมาก
พิพิธภัณฑ์เมฟลาน่า Mevlana Museum เดิมใช้เป็นสถานที่ของนักบวชของศาสนาอิสลาม ใช้เป็นที่ทำสมาธิ Whirling Dervishes การหมุนเป็นวงกลมขณะฟังเสียงขลุ่ย ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1231 โดยเมฟลาน่า เจลาเลดดิน รูบี (Mevlana Celaleddin Rumi) เชื่อกันว่าท่านเป็นผู้วิเศษของศาสนาอิสลาม หรือเรียกได้ว่าเป็นผู้ชักชวนคนที่นับถือศาสนาคริสต์ให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม
ข้างในพิพิธภัณฑ์ แบ่งเป็นสามโซน โซนแรก เป็นโลงศพของท่านเมฟลาน่า และโลงของลูกศิษย์ โซนสองเก็บเสื้อผ้าเครื่องใช้ของท่าน โซนสามเป็นคัมภีร์ หนังสือคำสอนของท่าน
ภายในพิพิธภัณฑ์ด้านนี้เป็นสุสานของเมฟลาน่า เจลาเลดดินและยังเป็นสุสานสำหรับผู้ติดตาม สานุศิษย์ บิดาและบุตรของเมฟลาน่า
เมฟลาน่า เจลาเลดดิน เกิดที่ประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อปี ค.ศ. 1207 บิดาเป็นนักปราชญ์ ท่านเดินทางตามบิดาไปทั่ว ท่านเขียนคำกลอนบรรยายเรื่องราวของพระผู้เป็นเจ้า เขียนหนังสือสวดมนต์อัลกุละอ่านด้วยลายมือเป็นภาษาเปอร์เซีย เและได้เดินทางมาเมืองคอนยาตามคำเชิญของสุลต่านเซลจุก เพื่อเขียนบทกวีลี้ลับเป็นภาษาเปอร์เซียและได้รู้จักกับนักบวชในศาสนาอิสลามคือ เชมซี เทบริซลิ (Schemsi Tebrizli) ทั้งสองร่วมกันคิดวิธีทำสมาธิโดยเดินหมุนเป็นวงกลม คำสอนของท่านสอนเกี่ยวกับความรัก การให้อภัยและความเสียสละ
เมฟลาน่า ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ.1271 และทุกปีในวันนี้จะมีการเฉลิมฉลองที่สุสานเมฟลานา
น้ำพุให้ผู้มาสวดมนต์ล้างหน้า ล้างมือ เพื่อทำความสะอาด บางคนก็ล้างเท้าด้วย
ก่อนเข้าไปด้านในพิพิธภัณฑ์ในด้านสุสาน เขาจะมีถุงพลาสติกให้ใส่รองเท้าก่อนเข้าไปชม เพื่อกันพื้นเปื้อน
ภายในตกแต่งสวยงามและประดับประดาด้วยกระเบื้องสี
บริเวณด้านนี้เป็นโรงศพจำลองของท่านเมฟลาม่า…..ว่ากันว่าร่างของท่านและสานุศิษย์ฝังกันอยู่ในพื้นด้านล่าง
อีกด้านเป็นโรงศพจำลองของบิดา บุตร และสานุศิษย์
อีกด้านตกแต่งแบบเรียบง่าย
บริเวณด้านนี้บรรจุกล่องเก็บเคราของท่านเมฟลานาในตู้กระจก มีรูเล็กๆเอาไว้ให้ดมกลิ่นหอม( เขาว่ากันว่าศาสดามักจะมีกลิ่นกายที่หอม)….เราลองดมดูก็มีกลิ่นหอมบางๆ
ผู้ศรัทธา ต่างเอามือแตะหน้าอกแล้วสวดภาวนา
หนังสือที่ท่านเขียน
ในวันที่17 ธันวาคมของทุกๆปี สาวกของสำนักลมวนจะจัดพิธี ซีมา (Sema) หรือพิธีเฉลิมฉลองเพื่อรำลึกถึงเมฟลานาผู้ก่อตั้งนิกาย ด้วยการเต้นรำ (Sema Dance) โดยเหล่าสาวกสำนักลมวนจะสวมชุดกระโปรงยาวบานสีขาว สวมหมวกทรงกระบอก ออกมาร่ายรำหมุนตัวไปรอบๆ ทางเดียวตลอด 2 ชั่วโมงเต็ม เข้ากับจังหวะกลองและเสียงดนตรี ท่วงทำนองลี้ลับ อันเป็นการแสดงออกซึ่งความตายและการรวมเข้ากันเป็นหนึ่งกับพระอัลเลาะห์
เราเดินออกมาอีกฝั่งหนึ่ง
จะเห็นปล่องไฟเป็นที่ทำความร้อน ซึ่งถ้าที่ใดมีปล่องไฟมากก็แสดงถึงฐานะที่ร่ำรวยมาก
น้ำพุนี้ประกอบด้วยเปลือกหอยเป็นชั้นๆไล่เรียงลงมา มีความหมายว่า คนเราเกิดมาตัวคนเดียวและแต่งงาน มีลูกหลาน แต่สุดท้ายก็จากไปคนเดียวเช่นกัน ซึ่งเป็นสัจธรรมของมนุษย์
บริเวณนี้เป็นเครื่องใช้ไม้สอยและเสื้อผ้าของท่าน
และด้านแสดงหุ่นขี้ผึ้ง
ห้องนี้แสดงห้องที่นักบวชใช้สวดมนต์เพื่อขอพร วันละ 5 ครั้ง
เล่ากันว่าก่อนที่นักบวชจะทำการหมุนกัน จะต้องอดอาหารมีการเข้าห้องฝึกทรมานร่างกาย ทดสอบก่อนเป็นเวลา 1,100 วัน จึงจะเต้นหมุนไปรอบๆและผู้ที่มีสมาธิมากตัวก็จะลอยขึ้นเมื่อหมุนไปช่วงเวลาหนึ่ง
และคัมภีร์คำสอน
ด้านนอกจะมีหุ่นการเต้น Sema Dance ของมุสลิมลัทธิลมหวล
หมวกที่ใส่ เป็นสัญลักษณ์ของป้ายหลุมฝังศพ
เสื้อผ้าเหมือนผ้าห่อศพ
ประมาณว่าคนทั่วไปมีความตายเป็นสรณะ
มือขวาที่หงายขึ้นฟ้า แสดงถึงการยอมรับในพระเจ้า
มือซ้ายที่คว่ำลงดิน แสดงถึงการเผื่อแผ่แก่เพื่อนมนุษย์
หน้าที่แหงนมองฟ้าคือการหันหน้าสู่พระเจ้า
การหมุนตัวเป็นวงกลมในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา
การเต้นด้วยการหมุนๆๆแบบนี้ ถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เข้าถึงพระเจ้า
ร้านขายของที่ระลึก
ของที่ระลึก
จากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับโรงแรม Konya Grand Hotel
พวกเรารับประทานอาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ที่โรงแรม
จากนั้นเราก็ไปเดินเล่น shopping mall ตรงช้ามโรงแรม เดินไม่ไกลมากแค่ 1 กิโลเมตรเอง
วันนี้มีคอนเสริต์ ให้ชมด้วย …คนดูแน่นมาก
เราไม่ได้ดูเลย…เพราะไม่มีเวลา
ใกล้ๆกันก็เห็นมัสยิดอีกแห่ง เปิดไฟสวยงามมาก
เราเดินเล่นซื้อของบริเวณ shopping mall ประมาณ1ชั่วโมงก็กลับโรงแรม เพื่อพักผ่อนเพื่อเตรียมเที่ยวพรุ่งนี้ต่อไป
ตอนต่อไป Caravanserai