ก่อนหน้านี้ Cappadocia
วันนี้เราตื่นตั้งแต่ 04.30น. เพื่อจะไปขึ้นบอลลูน..ไกด์บอกเราว่าพวกเราโชคดีที่ได้ขึ้นบอลลูน เพราะบางกรุ๊ปมาแล้วก็อาจจะไม่ได้ขึ้น เพราะอากาศเป็นไม่เป็นใจ…บางคนมาค้างตั้ง 2 คืนก็ไม่ได้ขึ้น….แต่กลุ่มเราโชคดี อากาศดี ได้ขึ้นบอลลูน
ค่าขึ้นบอลลูน 230 ดอลลาร์ต่อคนในกลุ่มเราขึ้นทุกคนเลย
รถมารับเราแต่เช้า เขาแจก snack box ให้คนละ 1 กล่องรับประทานรองท้องไปก่อน
อากาศหนาวมาก …เราลงจากรถก็เจอกับบอลลูนมากมาย
บอลลูนลมร้อนมีหลักการทำงานคือไอร้อนจากหัวจุดเชื้อเพลิงจะส่งให้บอลลูนลูกโตลอยสูงเหนือพื้นดินและกัปตันจะเป็นผู้บังคับบอลลูนให้ค่อยๆลอยตัวไปเรื่อยๆ
พวกเราได้ขึ้นบอลลูนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
บอลลูนขึ้นแล้ว…เราตื่นตาตื่นใจมากเลย
สวยจริงทุกคนกดชัชเตอร์กันรัวๆ
บอลลูนแต่ละลูกจุคนได้ประมาณ 20-28 คน
กับตันควบคุมบอลลูนพาพวกเราลัดเลาะไปตามซอกเขา…สวยงามมากเลย
จิ้มกล้องไปมุมไหนก็สวยไปหมด
บรรยายด้วยภาพก็แล้วกัน
เราชมทิวทัศน์บนบอลลูประมาณ1 ชั่วโมงก็จะลงแล้ว
พนักงานนำเชือกมาดึงบอลลูน
บอลลูนมาจอดที่ลานกลางแจ้ง
เจ้าหน้าที่เปิดแชมเปลฉลองกัน..นอกจากนี้ยังแจกประกาศนียบัตรด้วย
จากนั้นรถคันเดิมก็พาเรากลับโรงแรม
วิวระหว่างทางมีฝูงแกะเยอะมาก….น่ารักดี
รถมาส่งเรารับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม..หลังจากนั้นพวกเราก็ไปเที่ยวนครใต้ดินกันต่อ..ซึ่งในคัปปาโดเกียมีนครใต้ดินประมาณ 36 แห่ง
นครใต้ดินเมืองไคมักลี (Kaymakli Underground City) ถูกสร้างจากดินพิเศษที่เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ และเป็นเมืองใต้ดินที่มีความกว้างที่สุดแต่มีความลึกป็นอันดับที่ 2 ในคัปปาโดเกีย
เดินเข้ามาก็เจอกับแบบจำลองนครใต้ดิน มี10 ชั้นแต่ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้จะมีเพียง 4 ชั้นเท่านั้น และทุกห้องของแต่ละชั้นเชื่อมต่อถึงกัน
การเข้าชมที่นครใต้ดินควรนำผ้าปิดจมูกมาด้วย เพราะฝุ่นค่อนข้างเยอะ
และคนที่ไม่สามารถทนสภาพอึดอัดในนครใต้ดินหรือแพ้ฝุ่นอาจจะเดินถึงเพียงแค่ชั้น2 เพราะสามารถเดินย้อนกลับได้ ถ้าเลยกว่านี้ย้อนกลับไม่ได้แล้ว
นครใต้ดินมีคนอาศัยอยู่เมืองใต้ดินนี้ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล มีคนอาศัยอยู่ประมาณ10,000คน เข้ามาอยู่ในนครใต้ดินเนื่องจากมีชาวคริสเตียนอาศัยอยู่ที่นี่ในช่วงศัตรูชาวคริสเตียนบุกหรือศัตรูรุกรานก็จะรวมตัวกันลงไปหลบอยู่ใต้ดินเป็นเวลานานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปีและพอเวลาบ้านเมืองสงบก็ขึ้นมาอยู่ข้างบน
ภายในนี้มีระบบระบายอากาศ และสภาพแวดล้อมที่เหมาะในการอยู่อาศัย เช่น นำ้ อาหาร โบสถ์ โรงเรียน โถง ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องอาหาร หลุมฝังศพ ที่สำหรับเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งทางเข้าออกฉุกเฉิน
ทางเดินเข้าถ้าจะเป็นซอกเล็กๆเป็นทางเดียวให้เดิน
การเดินเข้าไปจะมีทั้งก้ม ย่อ ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับคนที่ปวดเข่า ปวดหลังหรือข้อเข่าเสื่อม เพราะอาจจะเป็นมากกว่าเดิม
ด้านนอกชั้นหนึ่งเป็นที่สำหรับเลี้ยงสัตว์ มีหลุมใส่น้ำ อาหาร หญ้าลงไปในหลุม และที่สำหรับไว้ผูกสัตว์เลี้ยง
ถัดลงไปแต่ละชั้นแบ่งเป็นห้องๆและทำชั้นสำหรับใช้เก็บอาหาร เก็บขวดไวน์เนื่องจากว่าใต้พื้นดินอุณหภูมิคงที่เขาจึงสามารถเก็บและถนอมอาหารได้ยาวนาน
และมีชั้นสำหรับจุดเทียนให้ความสว่างเวลาค่ำคืน
ชั้น3 ห้องทำไวน์ เค้าจะนำองุ่นใส่ลงไปในอ่างใหญ่ แล้วคนก็จะลงไปย่ำๆ และมีช่องให้น้ำไหลลงไป เพื่อไปบ่มไว้ให้เป็นไวน์
หินกลมตรงกลางมีรู มีไว้เพื่อว่าเวลามีศัตรูเข้ามาเขาจะกลิ้งหินปิดไว้ ส่วนรูก็จะเอาไม้กักไว้ เพื่อถ่วงเวลาศัตรู เพื่อที่จะอพยพไปนครใต้ดินอื่น
ที่นครใต้ดินจะมีหินลักษณะนี้หลายด่านประตู
ถึงแม้จะอยู่ในถ้ำแต่ก็มีแสงสว่างส่องถึง ส่วนช่องกลมๆเป็นท่อระบายลมมีความลึก 80 เมตร ระบายอากาศถ่ายเท เข้า ออกภายในนครใต้ดิน
มีการแบ่งห้องไว้มากมาย
ชั้น4 ห้องนี้เป็นสาธารณะผู้คนจะเข้ามากินอาหารเช้าหรือเย็นร่วมกัน
ด้านซ้ายครกหินส่วนสากคงจะเป็นของใครของมัน ส่วนด้านขวาเป็นโม่โบราณ
พวกเราเดินแค่ 4 ชั้นก็เดินออกมา
บริเวณนี้จะมีของขายมากมาย…เช่น พรม , พวงกุญแจ, บอลลูนเซรามิค…ราคาต่อรองได้
เราได้บอลลูนมา 1 ลูกเป็นที่ระลึก
จากนั้นไกด์ก็พาเราไปโรงงานผลิตพรม เป็นสินค้าคุณภาพของตุรกี
ผู้หญิงตุรกีส่วนใหญ่จะต้องทอพรมได้ ถ้ามีเวลาต้องไปเรียนทอพรม ดังนั้นรัฐบาลจะช่วยสนับสนุนประเพณีนี้และจะรับซื้อพรม โดยจะทอพรมวันละ 4 ชั่วโมง นอกจากนี้ชาวตุรกีจะผูกพันธ์กับพรมมาก ทุกบ้านจะต้องมีพรมอย่างน้อย 1 ผืน และพ่อแม่จะมอบพรมเป็นของขวัญแต่งงานให้กับลูกสาวจากรุ่นสู่รุ่น จนเป็นมรดกตกทอดกัน
พอเราเดินเข้าไปก็มีพนักงานพาเราเข้าไปเพื่อดูการสาธิตการทำพรม โดยใช้วัสดุ 3ชนิด ได้แก่ขนสัตว์ คอตตอนและผ้าไหม ยิ่งผสมไหมมากเท่าไหร่ราคาก็จะแพง
จำนวนปมพรมยิ่งมากยิ่งมีคุณภาพดีเพราะมันจะแสดงถึงความแน่นและละเอียดของพรมคุณภาพปานกลางมี 30-50 ปมต่อ 1 ตารางเซนติเมตร และคุณภาพยี่ยมที่มีราคาสูงมากอาจมี 500ปมต่อ 1 ตารางเซนติเมตร
จากนั้นก็ย้ายไปอีกห้องเพื่อโชว์พรมสวยๆ มีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่มาก ราคาก็สูงตามคุณภาพพรม..เราไม่ได้ซื้อเลยเพราะไม่ค่อยได้ใช้พรม
ได้เวลามื้อกลางวันซะที..มื้อนี้เป็นอาหารจีน..ไซโยเลย…อร่อยมาก
พวกเราเดินทางต่อไปยัง พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง Goreme Open Air Museum