ก่อนหน้านี้ Ballon Cappadocia – Kaymakli Underground City
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม( Goreme Open Air Museum)
วิวระหว่างทาง
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งนี้เกิดขึ้นจากการขุดเจาะถ้ำหินหลายลูกเพื่อทำเป็นโบสถ์สำหรับเป็นศูนย์รวมของผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ในอดีต โดยชาวคริสต์ต้องการเผยแผ่ศาสนาจึงทำการขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์และป้องกันการรุกรานจากชาวโรมันที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์ โดยจักรพรรดิโรมันในช่วงนั้นได้สั่งให้ทหารฆ่าผู้คนที่เชื่อศาสนาคริสต์ไปมากมาย ทั้งยังสั่งให้ทำลายโบสถ์วิหารต่างๆ ไปมากด้วย ทำให้ชาวคริสเตียนต้องการหาที่หลบซ่อนจากทหารโรมันเหล่านั้น และมาในคริสตศตวรรษที่ 4 พระจักรพรรดิโรมันคอนสแตนตินมหาราช พระองค์ทรงเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ดังนั้นพระองค์ทรงบัญญัติให้ศาสนาคริสต์ไม่เป็นศาสนาที่ต้องห้ามอีกต่อไป และคืนอิสระให้แก่ชาวคริสต์เหล่านั้น ต่อมาจึงมีการสร้างโบสถ์ให้ใหญ่ขึ้น ก่อนจะเสื่อมลงหลังจากถูกชาวเติร์กเข้ามารุกราน
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งในเขตอุทยานแห่งชาติเกอเรเมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1985
ข้างในเป็นลานกว้าง
แผนที่เส้นทางการเดินใน Goreme Open Air Museum มีลักษณะเป็นภูเขารูปทรงแปลก ดูสวยงาม ภายในเคยเป็นโบสถ์และสถานที่ทางศาสนาคริสต์ ทั้งเล็กและใหญ่ ให้เราได้เที่ยวชมกัน
โบสถ์ขนาดเล็กสร้างราวศตวรรษที่ 3 – 4 โดยจะมีลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมไม่เกิน 9 ตารางเมตร ที่ผนังมีการเจาะโพรงเข้าไปทำเป็นแท่นพิธีไว้สำหรับประกอบพิธีกรรม และมีสัญลักษณ์แทนองค์พระเยซูซึ่งอาจเป็นเครื่องหมายบวกหรือสัญลักษณ์อื่นตามพระคัมภีร์
ส่วนโบสถ์ขนาดใหญ่นั้นส่วนมากสร้างขึ้นประมาณศตวรรษที่ 9 – 12 ซึ่งเป็นยุคทองของศริสต์ศาสนา จะมีโครงสร้างคล้ายสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์ (Byzantine) โดยเป็นโบสถ์ที่สร้างหลังจักรวรรดิประกาศรับรองศาสนาแล้ว ลักษณะของโบสถ์จึงมีความโอ่อ่าอลังการและประดับด้วยภาพเฟรสโก (Fresco) ซึ่งเป็นเทกนิกการเขียนสีลงบนปูนเปียก โดยภาพส่วนใหญ่เล่าเรื่องราวของพระเยซูและอัครสาวก บางส่วนเล่าเกี่ยวกับการดำรงชีพของผู้คนในสมัยนั้น
เดินผ่าน St. Basil Church เป็นที่แรก ภายในเป็นห้องเล็กๆ
พิพิธภัณฑ์ Goreme เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ มีโรงเรียนสอนศาสนาคริสต์ บาทหลวง แม่ชี และมีรูปวาดมากมายเนื่องจากสมัยโบราณชาวเมืองไม่รู้หนังสือเขาจึงวาดรูปเพื่อใช้ในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ภาพวาดจะมีทั้งแบบเพรสโกทั่วไปและแบบสีสันสวยงาม โดยแบบสีสันสวยงามสร้างในสมัยกษัตริย์จัสติเนียน(The Justinian) พระองค์ทรงส่งช่างฝีมือในการวาดรูปเข้ามาในเมืองนี้ ในศตวรรษที่13 ชาวมุสลิมเข้ามาก็จะมาทำลายรูปภาพ เพราะชาวมุสลิมจะไม่ยอมให้มีรูปภาพตามโบสถ์ที่เป็นรูปคน และใน 1924 ก็มีการทำสนธิสัญญาระหว่างตุรกีกับกรีก ก็จะส่งชาวคริสต์กลับไปและให้ชาวมุสลิมเข้ามาอยู่ ก็จะมีการทำลายรูปภาพเพิ่มเติมอีก
เราเดินเข้ามาข้างขวาก็เจอกับ Apple Church และ ST. Barbara chapel อยู่ใกล้กัน ช่วงนี้เขาปิดไม่ให้เข้า
การตั้งชื่อโบสถ์ก็จะตั้งตามสิ่งที่เห็น
Apple Church ที่ชื่อนี้เพราะข้างในมีรูปภาพ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นผลแอปเปิ้ล จึงนำมาตั้งเป็นชื่อโบสถ์ตามภาพวาดที่วาดไว้ นอกจากนี้ยังมีภาพวาดเรื่องราวของพระเยซุอยู่ในนี้
เราเข้ามาชม Maltese Cross Church และ Refectory
ขึ้นไปด้านในถ้ำขนาดใหญ่แต่ไม่มาก
มุมมองจากภายในถ้ำถ่ายรูปออกมา
เดินไปไม่ไกลก็ถึง Karanlik (Dark) Church เสียเงินเพิ่มประมาณ15 ลีรา ในนี้มีภาพที่ยังสมบูรณ์อยู่
ST. Catherine Church
ภายในโบสถ์ภาพของใบหน้าของพระเยซูนั้นถูกขูดขีดและทำลาย เป็นที่สะเทือนใจต่อชาวคริสต์มาก
มัวแต่โพสท่าถ่ายรูปจนไม่ได้เข้าถ้ำอื่นๆเลย ได้เวลาเดินทางกลับ
เวลามีเหลือเพราะพวกเราต้องขึ้นเครื่องบินเวลา 00.30 น. ดังนั้นจึงไปเที่ยวที่อื่นเพื่อฆ่าเวลาก่อน
ที่ต่อไปปล่องไฟนางฟ้าหุบเขาพาซาแบค อยู่ห่างจากเกอเรเม่ (Goreme) มาทางตอนเหนือประมาณ 4.8 กิโลเมตร
Pasabag Fairy Chimneys หรือ Monk Valleyหรือ “ปล่องไฟนางฟ้า” สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ เป็นกลุ่มภูเขาหินรูปกรวยที่มีลักษณะเหมือนขนาดใหญ่ที่งอกในหุบเขาเกิดจากการกัดเซาะของธรรมชาติ เช่น แดด ฝน ลมและหิมะ ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานจนกลายเป็นปล่องๆ อย่างที่เราเห็นกัน
ทางเดินไปชมวิวเป็นถนนลาดยาว มีทิวเขางดงามเป็นฉากหลัง
หุบเขานี้กว้างใหญ่มาก มีหินสูงรูปเห็ดเรียงรายมากมาย
ความสูงของเขาหินประมาณ 10-15 เมตร …แหงนคอมองจนเมื่อย
ฝั่งซ้ายเพื่อขึ้นเนินเพื่อขึ้นเขาชมวิวสวยๆ ส่วนฝั่งขวาเป็นโบสถ์ของนักบุญซีโมน
เราเดินยังไปเนินสูงเพื่อไปขึ้นเขา
วิวจากมุมสูง
อีกด้านหนึ่งจะมีโบสถ์ของนักบุญซีโมน (St Simeon Church)
มีเรื่องเล่าว่าในศตวรรษที่ 5 มีนักบุญซีโมน (St Simeon) เป็นนักบุญคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกชื่อเสียงโด่งดัง เป็นผู้มีพลังวิเศษ จนชื่อเสียงแพร่กระจายไปทั่ว ท่านกับลูกศิษย์จึงได้ปลีกวิเวกมาอยู่อย่างสันโดษบนปล่องไฟนางฟ้าแห่งหนึ่ง และจะลงมาจากปล่องไฟนางฟ้าเพื่อขอรับอาหารและน้ำจากสานุศิษย์
ภายในเป็นถ้ำเล็กถ้ำน้อย
ที่นี่วิวสวยมากเลย มีคนมาถ่ายรูปแต่งงานด้วย
ทางเข้ากับทางออกเป็นทางเดียวกัน…. บริเวณนี้มีร้านขายของด้วย
ออกมาก็หาน้ำทับทิมทานให้หายเหนื่อย
เราเดินทางไปเมืองไคเซอรี่ (kayseri) ระยะทาง72 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง
และรับประทานอาหารเย็นที่เมืองนี้ มื้อนี้มีไก่ย่างอีกแล้ว…ก็ต้องทานถึงแม้จะเบื่อก็ตาม
เราไปขึ้นเครื่องที่สนามบินเมืองไคเซอรี่ไปอิสตันบลู เที่ยวบิน TK2021 ใช้เวลาเดินทาง 1.35 ชั่วโมง มาถึงโรงแรมเกือบ02.00 น.
พักค้างคืนที่โรงแรม Hilton Piyalepasa Hotel
วันนี้นอนดึกมากเกือบ 03.00น.ดังนั้นจึงนัดกันไปเที่ยวพรุ่งนี้เวลา 10.00 น.