ก่อนหน้า Hippodrome,Blue Mosque
พระราชวังโทพคาปิ (Topkapi Palace) เป็นวังหลวงในสมัยอาณาจักรออตโตมัน สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1459 ในสมัยของสุลต่านเมห์เหมดที่ 2 (Sultan Mehmed II) แห่งจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งสามารถเข้ายึดครองกรุงสแตนติโนเปิลได้ องค์สุลต่านเมห์เหมดที่ 2 ทรงมองเห็นว่าพระราชวังแห่งคอนสแตนติโนเปิล (Great Palace of Constantinople) ซึ่งเป็นพระราชวังหลักในเวลานั้นอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรม จึงทรงโปรดให้สร้างพระราชวังแห่งใหม่ขึ้นที่บริเวณแหลม Seraglio (Sarayburnu) ซึ่งเป็นชัยภูมิที่ดีสามารถมองเห็นช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus Strait) บรรจบกับทะเลมาร์มะรา (Marmara Sea) ได้ชัดเจน ปัจจุบัน พระราชวังแห่งนี้เป็นที่จัดแสดง สมบัติของสุลต่านในสมัยต่างๆ ในยุคสมัยอ๊อตโตมัน
โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ
1.พระราชวังชั้นนอก
2.พระราชวังชั้นใน
3.ฮาเล็ม
ในสมัยก่อนพระราชวังแห่งนี้มีข้าราชบริพารจำนวน5,000 คน จึงมีสภาพคล้ายตัวเมืองซับซ้อนตัวเมืองอีกที สุลต่านทุกพระองค์ทรงประทับที่พระราชวังนี้เกือบ 400 ปี พระราชวังได้รับการตกแต่งอย่างดีในยุคที่ออตโตมันรุ่งเรืองถึงขีดสุด ต่อมาสุลต่านทรงชอบการตกแต่งแบบยุโรปจึงย้ายพระราชวังไปพระราชวังโดลมาบาเช (Dolmabahçe Palace) แทน
พระราชวังล้อมรอบด้วยกำแพงขนาดยาวใหญ่กว่า 5 กิโลเมตร บริเวณภายในมีประตู 3 ชั้น
ช่วงนี้เขาก็ซ่อมอีกแล้ว เปิดให้พวกเราเข้าชมไม่กี่อาคาร
เดินผ่านประตูชั้นแรกหรือ Imperial Gate
ด้านในมีต้นไม้ใหญ่ ร่มรื่นช่วยเป็นที่กำบังแดดได้อย่างดี
โบสถ์ฮาเกียไอรีน (Hagia Eirene)อยู่ด้านข้างประตูที่เข้ามา เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยไบเซนไทน์ แต่ไม่โดนทุบทำลายเพราะถูกนำมาเปลี่ยนไปทำเป็นคลังแสง ก่อนจะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ด้านอาวุธ
ปัจจุบันโบสถ์ฮาเกียไอรีนไม่เปิดให้เข้าชมนอกจากมีการแสดงหรือคอนเสิร์ตสำคัญเท่านั้น
ปัจจุบันพระราชวังท็อปกาปึใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสมบัติล้ำค่าของราชวงศ์ออตโตมันที่ปกครองประเทศยาวนานถึง 470 ปี มีเพชร 86 กะรัต ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กอีก 49 เม็ดเรียงเป็นสองแถว กับกฤชท็อปกาปึทำจากทองคำประดับมรกตเม็ดใหญ่สามเม็ด เครื่องลายครามจากจีน อาวุธโบราณ ห้องสมุด เครื่องทรงพระภูษาอาภรณ์ที่ใช้ของสุลต่าน เครื่องแก้ว เครื่องเงิน ตลอดจนถึงสมบัติที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศาสนาอิสลาม
บริเวณนี้จำหน่ายตั๋วเข้าชมพระราชวัง ค่าเข้าชมคนละ 72 ลีรา
ประตูทางเข้าที่ 2
ด้านหลังอาคารนี้คือฮาเร็ม (Harem) เป็นพักอาศัยของผู้หญิง ซึ่งมาในฐานะเครื่องบรรณาการที่ถวายแด่สุลต่าน บ้างก็มาในฐานะเชลยศึกที่ถูกกวาดต้อนมา บ้างก็ถูกซื้อมา ผู้หญิงที่เข้ามาอยู่ในฮาเร็มแล้วจะไม่สามารถออกไปข้างนอกได้อีกเลยตลอดชีวิต พวกเธอเหล่านี้จะได้รับการฝึกอบรมความสามารถด้านต่างๆ เช่น การเต้นรำ การร้องเพลง เล่นดนตรี การเอาใจสุลต่านต่างๆที่จะส่งผลให้เธอเหล่านี้มีโอกาสก้าวสู่จุดสูงสุดของชีวิต เพียงแต่ทำให้สุลต่านพึงพอใจและมีลูกชายกับเธอให้ได้ ก็จะได้เลื่อนฐานะ และหญิงสาวบางคนก็จะถูกส่งเป็นบรรณาการแด่ทหารผู้ทำความดีความชอบในสงครามและสุลต่านจะปูนบำเหน็ดให้
การเข้าชมฮาเร็มจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 42 ลีรา ในฮาเร็มมี 300แต่เปิดให้เข้าชมเพียง 30 ห้อง
เดินต่อไปเป็น ประตูชั้นที่ 3 The Gate of Felicity ประตูแห่งความสุข ด้านในเป็นห้องพักผ่อนและของใช้ ของสุลต่าน
เดินผ่านอาคารนี้ก็จะเป็นจุดชมวิวที่สวยมองเห็นช่องแคบบอสฟอรัสในมุมสูงอย่างชัดเจน
จากจุดนี้เราสามารถมองเห็น Golden Horn, ทะเลมามาร่า และช่องแคบบอสฟอรัส
Baghdad Pavilion ตำหนักแบกแดด มีกระเบื้องโมเสสสวยๆ ผลิตทีคัปปาโดเกีย
ภายในงดงามประดับประดาด้วยกระเบื้องอิซนิค (iznik)
เตาผิงโบราณ
วิวจากบนนี้
พวกเราเดินเพียงแค่นี้ไม่ได้ไปจนสุด เพราะเหนื่อยแล้ว เราจึงเดินย้อนกลับออกไปทางเดิมพอออกจากประตูด้านนอกก็เจอกับอีกสุเหร่า
จากนั้นเราก็เดินทางไปหอคอยกลาต้าต่อ
หอคอยกลาด้า(Galata tower) ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1348 เพื่อแทนที่หอคอยกาลาตาเก่า ในยุคบาเซนไทน์ (Byzantine Tower) ที่มีชื่อว่าเมกาลอสพีรโกส (Megalos Pyrgos, Great Tower) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุด ของทะเลตรงทางเข้าโกลเด้นฮอร์น (Golden Horn) และถูกทำลายเสียหาย ระหว่างสงครามครูเสด ครั้งที่สี่ (ค.ศ. 1202 – ค.ศ. 1204)
หอคอยนี้เเคยป็นสถานที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เจมส์บอนด์007 Skyfall (2012)
บริเวณนี้มีร้านค้ามากมาย เช่น ร้านขายอาหาร ร้านโคมไฟสวยๆ ร้านกาแฟและกาแฟตุรกี
ร้านขัดรองเท้า
Galata Tower เป็นหอคอยหินสไตล์โรมัน ทรงกระบอกขนาดเก้าชั้น มีความสูง 66.90 เมตร มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ โดยสถาปนิกโคกซัลอนาดอล (Köksal Anadol) โดยส่วนบนของหอคอย ที่เป็นรูปกรวยหมวกนั้น ถูกปรับเปลี่ยนขนาดให้เล็กลงหลายครั้ง จนเป็นแบบที่ลงตัว และสวยงามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
บริเวณชั้นบนของ Galata Tower มีร้านอาหาร และคาเฟ่ ซึ่งสามารถมองเห็น วิวทิวทัศน์ของบอสพอรัส (Bosphorus)
เราขึ้นไปชั้น 8 เพื่อไปร้านอาหาร ชั้นนี้ไม่มีระเบียงด้านนอก ทำให้เห็นวิวถนัดตา ไม่ต้องมีคนมายืนชมวิวอยู่นอกระเบียง
วิวสวยมากพวกเราตื่นเต้นกับการถ่ายรูปกันใหญ่
นกตัวนี้เชื่องมาก มันมาอยู่ระเบียงเพื่อรอให้พวกเรานำอาหารให้กิน
อาหารเย็นมื้อนี้อร่อยดี …ยกเว้นไก่ย่าง แข็งไปหน่อย
ทานอาหารเสร็จพวกเราขึ้นไปจุดชมวิวชั้น9 เพื่อชมพระอาทิตย์ตกดิน
ชั้น 9 เป็นร้านอาหารเหมือนกันแต่คนอยู่ชั้นนี้อาจจะได้วิวไม่ดีนักเพราะด้านนอกมีคนมาดูวิวเยอะไปหมด
คนแน่นมาก เราเลยต้องออกมาให้คนอื่นได้ชมวิวบ้าง
กลางคืนหอคอยเปิดไฟสวยมาก
รถกลับโรงแรมพาเรานั่งชมวิวอิสตันบลูยามค่ำคืนที่สวยงาม