ปราก

พวกเราลงสถานีบริเวณใกล้ old town เพื่อรับประทานอาหารกลางวันที่ noi thai resturant พวกเราสามารถเลือก soft drink, beer หรือ wine ให้รับประทานฟรีด้วย

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จพวกเราก็เดินต่อไปยัง old town

Old Town Square ( Staromestske Namesti )
เป้นจตุรัสที่สำคัญของกรุงปราก เป็นจุดเริ่มถนนคนเดิน ที่มีแหล่งshoppingและร้านค้ามากมาย แถบนี้มีตึกหลากหลายรูปแบบศิลปะให้ชม พวกเราเดินผ่านตึกต่างๆเพื่อไปยังสะพานชาลส์

สะพานชาลส์ (Charles Bridge)สะพานชาลส์เชื่อมฝั่งปราสาทปรากทางตะวันตกเข้ากับเขตเมืองเก่าทางตะวันออก มีความยาว 516 เมตร และกว้างถึง 10 เมตร มีเสาค้ำยัน 16 ต้น เป็นสะพานเก่าแก่ที่สุดในเมือง และเป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่สวยที่สุด และคลาสสิกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ในปี ค.ศ. 1170 พระเจ้าวลาดิสลาฟที่ 2 ได้สร้างสะพานข้ามแม่น้ำวัลตาวาเป็นสะพานแรก เรียกว่าสะพานจูดิธ แต่สะพานได้พังลงในปี ค.ศ. 1342 และต่อมาในสมัยของพระเจ้าชาร์ลส ที่ 4 โปรดให้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1357 เพื่อทดแทนสะพานแห่งเดิมที่พังทลายจากน้ำท่วม

สะพานชาลส์

บนสะพานเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ถ้าจะชมวิวสะพานก็สามารถซื้อตั๋วขึ้นไปชมวิวบนหอคอยได้ แต่ต้องเตรียมเงินโคลนไปด้วยนะ เพราะเขาไม่รับเงินยูโรและบัตรเครดิต

สะพานชาลส์

สองข้างสะพานประดับไปด้วยรูปปั้นของนักบุญในศาสนาคริสต์ทั้งหมด 30 รูป

รูปปั้นของเซนต์จอห์น เนโปมุก (St.John Nepomuk) ตามตำนานบอกว่าชายาของพระมหากษัตริย์ในยุคนั้นมาพบท่านเพื่อสารภาพบาปบางประการ ต่อมาพระสวามีทราบเรื่องนี้ จึงมาถามนักบุญว่ามเหสีของตนมาสารภาพบาปเรื่องอะไร ท่านไม่ยอมเปิดปากพูด เพราะถือว่าการสารภาพบาปเป็นความลับส่วนบุคคล ในเมื่อท่านหยัดยืนที่จะรักษาความสัตย์เช่นนั้น กษัตริย์ก็เลยจับท่านโยนลงน้ำตรงสะพานชาร์ลส์ บริเวณจุดที่นักบุญจอห์นตกลงไปในแม้น้ำ
นั้นเองปรากฏดาวทองห้าดวงขึ้น ทําให้ท่านได้รับสถาปนาเป็นนักบุญเนโปมุก

รูปปั้นของเซนต์จอห์น เนโปมุก

รูปปั้นนี้ได้รับตวามสนใจมาก ที่ใต้รูปปั้นมีแผ่นทองเหลืองภาพนูนต่ำ ว่ากันว่าถ้าใครได้มาลูบแผ่นทองเหลืองนี้ แล้วขอพร จะได้ตามที่ขอ แต่ตอนนี้แผ่นทองเหลืองจางไปหมดแล้ว แต่เราก็ลูบขอพรกับเขาเหมือนกัน

รูปปั้นของเซนต์จอห์น เนโปมุก

St Norbert, St Wenceslas และ St Sigismund

รูปปั้น 3 นักบุญ

จากวิวบนสะพานสามารถมองเห็นปราสาทปรากและวิหารเซนต์วิตุส

วิวบนสะพานชาล์ล

วิวบนสะพานชาล์ล

บนสะพานมีร้านขายของที่ระลึกและมีศิลปินมาขายภาพวาดสวยๆมากมาย ซึ่งราคาก็ไม่แพงเท่าไร นอกจากนี้ยังมีการแสดงดนตรีให้ชมโดยศิลปินข้างถนน ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็จำนวนมาก

สะพานชาล์ส์

หลังจากชมวิวบนสะพานแล้วพวกเรา ก็เดินมายังบริเวณโดยรอบจัตุรัสเมืองเก่า (Old Town Square) ที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว เต็มไปด้วยอาคารสวย ๆ มากมาย

เราก็มุ่งตรงไปยัง tower ซึ่งเป็นจุดชมวิวของเมืองค่าเข้าชมประมาณ 100 โคลน ส่วนนักเรียน 50 โคลนแต่ต้องแสดง บัตรให้ดูด้วยนะ ที่นี่ก็ไม่ใช้เงินยูโรเช่นกัน

จัตุรัสแห่งนี้เคยเป็นตลาดสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าและลานอเนกประสงค์

มีอนุสาวรีย์ยาน ฮุส (Jan Hus) อยู่ตรงกลางและอาคารที่สวยงามอยู่โดยรอบและมีรถม้าจอดเพื่อพานักท่องเที่ยวชมเมือง

จัตุรัสกลางเมือง

อนุสาวรีย์ของนักปฏิรูปศาสนาชื่อยาน ฮุส (Jan Hus) ท่านผู้นี้ต่อต้านความเหลวแหลกฟุ้งเฟ้อของศาสนาคริสต์นิกายแคธอลิกในยุคนั้นเมื่อกว่า 500 ปีก่อน เช่นการที่บาทหลวงชั้นผู้ใหญ่แอบมีภรรยาลับ มีการขายบัตรไถ่บาปสร้างความร่ำรวยให้กับสำนักวาติกัน จนเขาถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการเผาทั้งเป็น เหตุการณ์นี้ทำให้มีการลุกฮือเพื่อต่อต้านอำนาจของพวกแคธอลิก มีการจับบาทหลวงโยนลงมาจากหอคอย จนเกิดเป็นสงครามฮุสไซต์ (Hussite Wars) ระหว่างฝ่ายที่ยึดมั่นต่อคริสตจักรกับฝ่ายที่ต่อต้าน ยาน ฮุสจึงถือเป็นวีรบุรุษที่สำคัญคนหนึ่งของชาวเช็ค

อนุสาวรีย์ยาน ฮุส (Jan Hus)

Church of Our Lady before Tyn สร้างด้วยศิลปะโกธิคที่ยอดแหลม 2 ยอด เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่น

สร้างปีค.ศ.1365 ที่นี่เป็นที่ฝังศพของนักดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ชาวเดนมาร์ค Tycho Brabe ( มีชีวิตระหว่างค.ศ.1546-1601 )

Church of Our Lady before Tyn

โบสถ์ St. Nicolas เป็นโบสถ์ประจำเขตเมืองเก่า ศิลปะแบบบาร็อค สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ในช่วงฤดูร้อนโบสถ์ยังใช้เป็นคอนเสิร์ตฮอลล์

โบสถ์ St. Nicolas

ซึ่งมีรูปทรงเหมือนป้อมหอคอยสูงสไตล์โกธิค สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1475 ด้านในมีบันไดให้ซื้อตั๋วแล้วปีนขึ้นไปชมวิวได้ หอคอยแห่งนี้ถือว่าเป็นจุดแบ่งเขตระหว่างเมืองเก่ากับเมืองใหม่

Powder Gate

หลังจากชมวิวได้สักพักเราก็ลงลิฟท์เพื่อไปยังด้านล่างตรงไปยังบริเวณโอลด์ทาวน์ฮอลล์ (Old Town Hall) หรือศาลาว่าการเทศบาลเก่า ที่อยู่ใกล้กัน

ศาลาว่าการฯ นี้สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1338 ยังมีหอคอยสูงประมาณ 70 เมตร มีจุดเด่นคือนาฬิกาดาราศาสตร์ (Astronomical Clock) สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1490 มีการซ่อมแซมเมื่อปีค.ศ. 1552 – 1560 นาฬิกานี้จะตีบอกเวลาทุกๆชั่วโมง และในทุกชั่วโมงจะมีรูปปั้น 12 อัครสาวกแห่งพระเยซูคริสต์ที่จะออกมาทางบานหน้าต่างเล็กๆ 2 บานด้านบนสุด

ตำนานกล่าวว่าหลังจากนาฬิกานี้สร้างเสร็จ คนประดิษฐ์กลไกนาฬิกาชิ้นนี้ถูกควักลูกตาให้ตาบอด เพื่อที่จะไม่สามารถมองเห็นแล้วจะสามารถไปสร้างนาฬิกาแบบเดียวกันนี้ที่อื่น

Old Town Hall

นาฬิกาดาราศาสตร์

จะเห็นว่าด้านบนสุดจะเป็นไก่ทองคำขันบอกเวลาทุกชั่วโมง
นาฬิกาเรือนบน มีเข็มชี้เป็นรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์ ซึ่งสร้างขึ้นตามความเชื่อทางศาสนาที่ว่าโลกเราคือศูนย์กลางแห่งจักรวาล
ตัวเลขวงนอก เป็นเลขอารบิกของชาวโบฮีเมียโบราณ
ตัวเลขวงกลาง เป็นเลขโรมัน
ส่วนวงใน เป็นรูปแบบการบอกเวลาแบบบาบิโลน
ตุ๊กตาที่ขนาบข้างนาฬิกาเรือนบนก็มีความหมายถึงกิเลสต่างๆของมนุษย์ด้วย
ตัวซ้ายมือสุด เป็นตุ๊กตาที่ถือกระจกส่องหน้า แทนความลุ่มหลง (Vanity)
ตัวซ้ายถัดมา เป็นตุ๊กตานายทุนเงินกู้ชาวยิว แทนความละโมบ (Greedy)
ตัวขวามือสุด เป็นตุ๊กตาที่เชิดหน้าขึ้นลงได้ ดูคล้ายคนบ้ามุทะลุ แทนตัณหา ราคะ (Lust)
ตัวถัดมา เป็นตุ๊กตาโครงกระดูก แทนความตาย ความมืดบอดทางปัญญา (Death)

นาฬิกาดาราศาสตร์

ส่วนนาฬิกาเรือนล่าง เป็นนาฬิกาจักรราศี หน้าปัด 12 ราศี พร้อมกับแสดงฤดูเก็บเกี่ยวต่างๆ

นาฬิกาดาราศาสตร์

มุมนี้เห็นทั้งChurch of Our Lady before Tyn และ old town hall แต่ที่น่าเสียดายคือ old town hall มีการซ่อมแซม ทำให้เสียทัศนียภาพไม่น้อย

หลังจากนั้นพวกเราก็เที่ยวเดินเล่นไปยังจัตุรัสเวนเชสลาส” ย่านเมืองใหม่ ( new town) ซึ่งบริเวณรอบๆนี้ป็นแหล่งช้อปปิ้งอันทันสมัยของกรุงปร๊าก

เขตเมืองใหม่ (New town) ชื่อว่าเขตเมืองใหม่เพราะพระเจ้าชาลส์ที่ 4 ต้องการขยายเมืองต่อจากเขตเมืองเก่าไปทางตะวันออกและทางใต้ อายุก็เกือบ 6-7 ร้อยปีแล้ว บ้านเรือนยุคกลางของเดิมก็ผุพังลง อาคารที่เห็นในปัจจุบันเป็นอาคารจากยุคปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ศูนย์กลางของเขตเมืองใหม่คือ จตุรัสเวนเซสลัส ที่แห่งนี้มีตำนานการเรียกร้องอิสรภาพมาโดยตลอด มีทั้งนักศึกษาเผาตัวเองประท้วง มีทั้งนักศึกษาและประชาชนถูกปราบปรามจากการก่อจราจลเรียกร้องอิสรภาพ

แหล่ง shoping ย่าน new town

พวกเราเดินมาเห็นจคุรัสอยู่ไกล ทางเท้าสำหรับคนเดินที่นี่กว้างมาก เหมาะกับเป็นย่าน shoping จริงๆ

จตุรัสเวนเซสลัส

เดินตรงไปก็ถึงอนุสาวรีย์เซนต์เวนเซสลัส (St.Wenceslas) ทรงม้า ท่านเป็นดยุกแห่งโบฮีเมียในสมัยศตวรรษที่ 10 และเป็นนักบุญประจำแคว้นโบฮีเมีย สร้างปีค.ศ.1912 โดยศิลปิน Josef Myslbek ด้านหลังเป็น National Museum

ด้านหลังเป็น National Museum อาคารพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ สร้างแบบ Neo-Renaissance โดยสถาปนิก Josef Schulz สร้างสำเร็จในปีค.ศ.1890 แสดงสิ่งของทางประวัติศาสตร์ และ ประวัติศาสตร์ธรรมชาติวิทยา ตกแต่งภายในด้วยหินอ่อนเป็นส่วนใหญ่ และรูปปั้นนักปราชญ์ของเชค

พวกเราไม่ได้เข้าไปชม National museum เนื่องจากมีการแสดงคอนเสริต์ ดังนั้นพวกเราจึงเดินกลับย่าน old town เพื่อไปเดิน shoping ที่ ห้างสรรพสินค้า Palladium

เป็นอาคารในศิลปะแบบอาร์ตนูโว ( Art Nouveau ) ที่สวยงามที่สุด สร้างขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยการรวมรวบช่างฝีมือชาวเช็คเพื่อสร้างสรรค์ศิลปะแบบเช็คขึ้นมาในยุคที่ลัทธิชาตินิยมทวีกำลังมาก
ขึ้น ภายในมีโรงละครมีการแสดงดนตรีคลาสสิกทุกคืน

ห้างสรรพสินค้า Palladium

หลังจากนั้นพวกเรารับประทานอาหารภัตตาคารพื้นเมือง pivovar a resturance เป็นร้านบรรยากาศน่ารักและมีการแสดงพื้นเมืองด้วยเมื่อรับประทานอาหารเสร็จรถก็พาเรากลับโรงแรม
พวกเราอยากชมวิวเมืองปรากยามค่ำคืนจึงนั่งรถรางสาย 9 เพื่อย้อนกลับมายังย่าน new town เราซื้อตั๋วจากร้านสะดวกซื้อ ในราคา 1.45 ชม.ราคาประมาณ 2 ยูโร นั่งรถประมาณ 4 ป้าย

สถานีรถรางห่างจากโรงแรมประมาณ 500 ม.

รถรางสาย 9

เราลงสถานีย่าน new town เพื่อไปบริเวณจัตุรัสเวนเชสลาส เพื่อถ่ายรูป

จัตุรัสเวนเชสลาส ยามค่ำคืน

เราเดินผ่านจตุรัสเพื่อที่จะเดินไปยังสะพาซาลล์

St. Nicolas ยามค่ำคืน

บริเวณนี้มีร้านอาหารอยู่หลายร้าน บรรยากาศชวนให้นั่งเล่น

ปรากยามค่ำคืน

Old Town Hall กำลังซ่อม ดังนั้นจึงถ่ายแต่รูปนาฬิกาดาราศาสตร์

ปรากยามค่ำคืน

และเราก็เดินต่อไปยังสะพานชาล์ส์

สะพานชาล์สยามค่ำคืน คนน้อยดี ดูมีเสนห์น่าหลงไหล

ปรากยามค่ำคืน

วิวบนสะพานชาล์ลยามค่ำคืน

ในยามค่ำคืนปราสาทปรากโดดเด่นสวยงาม มีเสน่ห์ไปอีกแบบ

หลังจากชื่นชมกับบรรยากาศยามค่ำคืน พร้อมกับใกล้หมดเวลาของตั๋วรถรางแล้ว พวกเราจึงรีบกลับโรงแรม

เราคิดว่าปรากเป็นเมืองที่สวยน่าหลงไหลทั้งในกลางวันและกลางคีนถ้าจะเที่ยวเล่นในปรากน่าจะมีเวลาสัก 3 วันจะได้ไม่เหนื่อยมาก เราคิดว่าถ้ามีเวลาเราจะต้องมาที่นี่อีกให้ได้

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here