26 พฤษภาคม 2557
เกาะคาปรี (capri island ) เป็นเกาะในทะเลติร์เรเนียน ( Tyrrhenian sea )ทางทิศใต้ของอ่าวเนเปิลส์ ในแคว้นกัมปาเนีย(Campania) ประเทศอิตาลี เป็นสถานที่ตากอากาศตั้งแต่สมัยโรมันโบราณ ในระหว่างสงครามนโปเลียน ถูกอังกฤษและฝรั่งเศสผลัดกันเข้ายึดครอง และกลับคืนเป็นของอิตาลีในปี ค.ศ. 1813
ได้รับการจัดอันดับจากทางเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง เนชั่นเนล จีโอกราฟฟิก ว่าเป็นเกาะที่สวยที่สุดของโลกอันดับที่ 7 ในปี2013
จากแผนที่การเดินทางมาเกาะคาปรีต้องโดยสารมาทางเรือเท่านั้น
เมื่อมองจากเรือเราก็เห็นตัวเกาะอยู่ไกลๆ
เกาะแห่งนี้เป็นสวรรค์ในการตากอากาศของเหล่าคนดัง นับลงมาตั้งแต่ราชาแห่งแคว้น ศิลปิน นักออกแบบ ดารา นักการเมือง เรื่อยมาจนถึงมวลหมู่เซเลบริตี้ชื่อดัง มีสินค้าแบรนด์เนมโรงแรมหรูระดับ 6 ดาว
ตามโปรแกรมทัวร์พวกเราจะเข้าชม ถ้ำ Blue Grotto มีชื่อเป็นภาษาอิตาลีว่า Grotta Azzurra เป็นถ้ำปิดที่มีปากถ้ำอยู่ในทะเล จุเด่นของถ้ำคือน้ำทะเลภายในถ้ำนั้นจะเรืองแสงเป็นสีน้ำเงินเข้มสวยงามแปลกตา การที่น้ำทะเลเรืองแสงได้นั้นก็เกิดจากแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านปากถ้ำและช่องหินที่อยู่ใต้ทะเล แล้วสะท้อนขึ้นมาบนผิวน้ำในถ้ำทำให้น้ำทะเลเกิดการเรืองแสงได้
แต่เนื่องจากวันนี้น้ำทะเลหนุนสูงทำให้ไม่สามารถเข้าชมได้ จึงเปลี่ยนแผนนั่งเรือเที่ยวชมรอบเกาะแทน
เรือแบบนี้พาพวกเราเที่ยวชมเกาะ เรือไม่มีหลังคาหรือที่บังแดด พวกเขาคงคิดว่าทุกคนคงเหมือนฝรั่งกันหมด คือชอบอาบแดด วันแรกของการเที่ยวทำเอาพวกเราเหนื่อยเลย เพราะแดดร้อนมาก
เมื่อมองย้อนกลับไปจะเห็นเป็นเมืองเล็ก ๆที่มีบ้านเรือนเบื้องล่างที่เรียงรายไล่ไปตามทางลาดของเนินเขา
เกาะคาปรีมีเมืองใหญ่ ๆ อยู่สองเมือง คือ คาปรีที่อยู่ด้านล่างของเกาะ และอนาคาปรี (Anacapri) Ana แปลว่า Above ซึ่ง Anacapri ก็คือ Above Capri นั่นหมายถึงอีกส่วนหนึ่งหนึ่งของเกาะที่มีพื้นที่อยู่สูงกว่า ซึ่งอยู่บนเขาสูง มีประชากรประมาณ 12,000 คน พื้นที่ 10 ตารางกิโลเมตร เท่านั้น ขนาดยาวเพียง 2 กม.กว้าง 1.6 กม
เรือพาเราไปชมวิวจาก marina grande จนถึง Faraglioni ใช้เวลาในการนั่งชมเรือประมาณ 40 นาที
แผนที่เกาะและเส้นทางเดินเรือ
ทิวทัศน์ข้างทาง
ที่นี่ถ้ำก็มีหินงอกหินย้อยเหมือนบ้านเรา
The Grotta Bianca
Arco Naturate
พวกเราไม่ได้เข้าถ้ำ Blue Grotto ดังนั้นไกด์จึงแนะนำเข้าอีกถ้าที่มีสีน้ำเงินเช่นกัน เป็นถ้ำแคบๆเรือเข้าได้เพียง 1 ลำเท่านั้น
น้ำทะเลเป็นสีน้ำเงินสดใส และที่เห็นเป็นสีแดงนั่นคือประการรัง
เรือพาเราจนถึงบริเวณนี้ จากนั้นก็ย้อนกลับ
Faraglioni
พวกเรากลับขึ้นมาที่ท่าเรือเดิม
บ้านเรือนที่เกาะคาปรีสีสันสดใส คึกคักด้วยนักท่องเที่ยว
พวกเราเดินไปขึ้นรถบัสคันเล็กเพื่อเดินทางไปยังร้านอาหาร Capri Moon Ristoranteเป็นร้านอาหารอิตาลี่ที่นี่ตกแต่งสวยงามทั้งภายในและภายนอก
อาหารมื้อแรกที่อิตาลี่ คุณโจเล่าให้ฟังว่าอาหารของชาวอิตาลี่ประกอบไปด้วย เส้น ไม่ว่าจะเป็นพาสต้าหรือมะกะโรนี ตามด้วยสเต็กและผักสดตบท้ายด้วยขนมหวานคะ พวกเรากินตามสูตรเลย แต่อาหารอิตาลี่จะไม่ปรุงแต่งอะไรเลย รสธรรมชาติ ดังนั้นผักสดจึงไม่มีน้ำสลัด รสธรรมชาติล้วนๆ
จากนั้นรถก็มาส่งเรายังจตุรัสอุมแบร์โต (Piazza Umberto)
จตุรัสนี้มีหอนาฬิกาที่โดดเด่น วันนี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจริงๆ
Piazza Umberto
พวกเราเดินทางต่อไปยัง สวนออกัสตัส (Augustus Garden) ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดสามารถมองเห็นวิวของเกาะที่งดงาม
ทางไปAugustus Garden เราผ่านร้านค้าหลากหลาย แต่ไม่ทันได้แวะดูอะไรเพราะเวลาไม่พอ
โรงแรมที่นี่ประดับและตกแต่งด้วยดอกไม้สีสันสวยงาม
ใกล้ๆกับทางเข้าสวน เราก็ได้กลิ่นหอมของน้ำหอม จากร้านขายน้ำหอม ซึ่งดูแล้วน่าจะมีโรงงานเล็กๆอยู่ข้างในด้วย ส่งกลิ่นหอมจนอยากจะแวะซื้อ แต่กลัวเวลาไม่พอจึงต้องตัดใจ
เดินต่อไปยังจุดชมวิว ซึ่งคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว
ค่าเข้าชมคนละ 1 ยูโร แต่คุ้มมาก เดินผ่านทางเข้าก็เห็นดอกกุหลาบปลูกไว้สวยงาม
เป็นจุดชมวิวที่สวยมาก สามารถมองเห็น Faraglioni จากมุมไกลสะท้อนกับทะเลสีน้ำเงิน
อีกฝากหนึ่ง ทะเลก็สวยงาม
พอมองให้ชัดจะเห็นถนนที่คดแคบๆที่คดเคี้ยว คนขับรถต้องใช้ฝีมือมากๆ
หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว พวกเราก็รีบเดินกลับไปยัง Piazza Umberto เพื่อขึ้นรถรางและต่อเรือไปยังเมือง Sorrento
พอลงจากรถรางพวกเราก็รีบวิ่งมาที่ท่าเรือ เพราะจวนเจียนเวลาที่เรือจะออกแล้ว พอดีกลุ่มเรามีสว.อยู่หลายคน จึงต้องวิ่งไปถ่วงเวลาก่อน โชคดีที่พนักงานใจดี รอพวกเราที่วิ่งมาทีหลังจึงได้ขึ้นเรือแบบเฉียดฉิว
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาทีก็ถึงเมือง Sorrento
ซอเรนโต้ (Sorrento) เมืองตากอากาศสวยงามทางใต้ของเนเปิลส์ ตัวเมืองเรียงรายตามแนวของผาหินสูง เป็นเมืองที่โรแมนติคจนมีผู้ประพันธ์เพลง “คัมแบ็ค ทู ซอร์เรนโต้” (COME BACK TO SORRENTO) มีรีสอร์ตที่พักตากอากาศหลายแห่งและนักท่องเที่ยวใช้เป็นฐานในการเยือนอิตาลีตอนใต้ เพื่อเดินทางไปสู่ เกาะคาปรี ( capri island ) และ อมาลฟี ( amalfi )
เมื่อมองใกล้ๆจะเห็นบ้านเรือนตั้งอยู่ริมผาสูงจริงๆ
เราเดินเล่นในเมืองกันต่อ
จัตุรัส Saint Antony เห็นรูปปั้นของ Saint Antony
เป็นเมืองอบอุ่นด้วยแสงแดดตลอดปีเป็นแหล่งปลูกองุ่น ส้ม มะกอก มะนาวที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของยุโรป ดังนั้นจึงมีผลิตภัณฑ์จากผลไม้พวกนี้เป็นจำนวนมาก
มะนาวที่นี่ลูกโตมากๆ เห็นครั้งแรกคิดว่าส้มโอ มิน่าเขาถึงเอามาทำผลิตภัณฑ์ซะเยอะแยะไปหมด
เครื่องดื่มที่ชื่อเสียงของที่อิตาลี่ตอนใต้ก็คือ ลิมอนเซลโล่ ( Limoncello )หรือเหล้ามะนาว เพราะว่าสามารถปลูกมะนาวได้เยอะ จึงเห็นวางขายเรียงรายเยอะไปหมด
เครื่องดื่มชนิดนี้มักดื่มหลังอาหารเพื่อช่วยในการย่อย แล้วก็จะดื่มแบบเย็นเจี๊ยบ ในแก้วเล็กๆ แล้วแก้วก็ควรจะแช่เย็นก่อนเสิร์ฟด้วยเหมือนกัน ชาวพื้นเมืองที่นี่มักนิยมทำกินกันเอง
แต่ละร้านทำ package ออกมาสวยงาม ทำให้น่าลองลิ้มรสชาดและ เหมาะกับเป็นของฝากมาก
และนอกจากมะนาวแล้วส้มก็สามารถนำมาทำเหล้าส้มได้เช่นกัน
Limoncello
ชาวพื้นเมืองที่นี่นำผลไม้จากท้องถิ่นมาทำหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นซ็อคโกแลตเหล้าสอดใส้มะนาวหรือแยมรสต่างๆ และมีขนมแบบต่างๆอีกที่มีส่วนผสมของผลไม้
มีให้เลือกหลากหลายจริงๆ แน่นอนต้องเสียเงินสักร้านแน่ๆ
เราเดินย้อนกลับมาทางจตุรัส
เมืองที่นี่ดูเงียบสงบจริงๆ เหมาะแก่การพักผ่อนจริงๆ
เมื่อมองลงไปข้างล่างจะเห็นถนนดังภาพ
จะเห็น เห็นถนนแคบๆ ตัดผ่านระหว่างตึกริมผาไปสู่อ่าวเนเปิ้ลที่อยู่ด้านล่าง
หลังจากนั้นคุณโจก็พาเราไป supermarket เพื่อซื้อของใช้จำเป็นกัน พวกเราซื้อน้ำดื่มเพื่อเก็บไว้เป็นเสบียงในคืนนี้และวันถัดไป โรงแรมที่นี่ไม่มีน้ำดื่มฟรีเหมือนบ้านเรา
หลังจากนั้นพวกเราก็ไปรับประทานอาหารเย็นต่อ
มื้อเย็นเราทานอาหารอิตาลี่ที่ Sorrento
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จพวกเราก็นั่งรถบัสเพื่อเดินทางไปยังโรงแรม La Sonrisa Hotel ซึ่งอยู่เมือง Sant Antonio Abate ระยะทาง 25 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงโรงแรม
เป็นโรงแรมที่สวยมาก การตกแต่งสวยตั้งแต่ภายนอกจนถึงข้างในโรงแรมเลย แต่เนื่องจากว่าพวกเราเหนื่อยมากเพราะยังไม่ได้พักเลยหลังจากลงเครื่องมา พรุ่งนี้เราถึงจะถ่ายรูปในโรงแรมกัน
พรุ่งนีพวกเราจะไปเที่ยว เส้นทาง amalfi coast กัน