ปอมเปอี

28 พฤษภาคม 2557

วันนี้พวกเราจะไปเที่ยมปอมเปอี ซึ่งอยู่ใกล้กับที่เราพักมาก แต่เราก็ออกจากโรงแรม 08.00 น.

ระยะทางระหว่างโรงแรมถึงปอมเปอี 6 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 20 นาที

เมืองปอมเปอีตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเนเปิลส์ (Naples) ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยโรมัน แต่ในปี ค.ศ. 79 เมืองที่เคยเจริญรุ่งเรือง ก็หายวับไปกับตาเพียงชั่วข้ามคืน จากเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟวิสุเวียสหลังจากการระเบิดเถ้าถ่านและลาวาจำนวนมากได้มาทับถมปอมเปอี โดยหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ปอมเปอีได้ถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินลึกลงไปประมาณ 4 – 6 เมตร ประชาชนนับหมื่นต้องถูกฝังทั้งเป็นตายด้วยความทุกข์ทรมานโดยที่ไม่มีใครมีโอกาสหนีรอดออกมาได้เลย และหลังจากนั้นปอมเปอีก็ถูกลืมไปจากความทรงจำของชาวโลก

ภูเขาไฟวิสุเวียส

ในที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 79 ภูเขาไฟวิสุเวียส( Vesuvius Mount) ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 5 ไมล์ได้เกิดระเบิดขึ้น เกิด ฝุ่นควัน และก๊าซพิษจำนวนมากถูกพ่นออกมา กระแสลมในวันนั้นได้พัดพามันไปที่เมืองปอมเปอีทำให้ชาวปอมเปอีเริ่มหายใจไม่ออก เพราะก๊าซพิษที่ภูเขาไฟพ่นออกมา ผู้ที่พยายามจะหนีส่วนใหญ่ตาย สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่ เกิดจากหินพัมมิซขนาดใหญ่หล่นใส่หัว แล้วก็ล้มลงหมดสติ แล้วก็ขาดอากาศหายใจจนตายในที่สุดและแรงสั่นสะเทือนจากการระเบิดทำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าชายฝั่ง และกวาดเอาความรุ่งเรืองของปอมเปอีไปจนหมดสิ้น

หลังจากนั้น ภูเขาไฟวิสุเวียส เคยระเบิดอีกราว 30 ครั้ง ครั้งหลังสุด เกิดระเบิดในปี ค.ศ. 1944 มีการพ่นเถ้าถ่านและลาวานาน 11 วัน มีผู้เสียชีวิต 26 คน และยังเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับเพียงแห่งเดียวในแผ่นดินใหญ่ของทวีปยุโรป

ต่อเมื่อได้มีการฟื้นฟูศึกษาประวัติศาสตร์โบราณขึ้นชื่อปอมเปอีจึงถูกค้นพบ แต่ก็ยังไม่เป็นที่น่าสนใจมากนัก จนกระทั่ง พ.ศ. 2291 จึงได้พบร่องรอยของซากเมือง และมีการขุดค้นกันก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2 เล็กน้อย เมื่อรื้อดินที่ทับถมออกมาหมดแล้ว ก็พบซากเมืองที่ใหญ่โต และสร้างด้วยหินอย่างแข็งแรง บางแห่งพบซากชาวปอมเปเอียนและสัตว์เลี้ยงที่ตายและกลายเป็นหิน ซึ่งคงอยู่ในสภาพเกือบเหมือนเดิมทุกประการ แต่ทว่าจากภาพนั้น จะเห็นลักษณะของความหวาดกลัวต่อความตายอย่างเห็นได้ชัด บางคนนั่งเอามือปิดหน้าตาย และบางคนซบหน้ากับกำแพงบ้านตายก็มี ปอมเปอีจึงได้ชื่อว่า ซากเมืองแห่งความตาย

ปัจจุบัน ปอมเปอีเป็นเมืองที่ได้รับการฟื้นฟูอย่างดีจากนักโบราณคดีและ รัฐบาลอิตาลี โดยจัดเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติวิสุเวียส (Vesuvius National Park) ทำให้ปอมเปอีเป็นท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมที่สุดของอิตาลี โดยมีนักท่องเที่ยวประมาณ 2.5 ล้านคนต่อปีและขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ ในปี ค.ศ.1997

ประตูทางเข้า พวกเรามาแต่เช้าคนเลยยังไม่ค่อยเยอะเท่าไร

พวกเราเดินเข้าทางประตู marine gate และก็เจอกับไกด์ท้องถิ่น และเดินตามกันเข้าไป

ตัวเมืองปอมเปอี ในปี ค.ศ. 79 มีขนาดพื้นที่ ประมาณ 430 ไร่ (170 acres) มีกำาแพงเมืองยาว ประมาณ 3,300 เมตร โดย เวลานั้นมีประชากรอาศัย อยู่ประมาณ 20,000 คนและยังเป็นเมืองท่าต่อการทำการค้าและการเกษตรและยังเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมของชาวโรมัน โดยผู้ที่มีฐานะร่ำรวยนิยมสร้างบ้านพักตากอากาศไว้ที่นี่ เพื่อเข้ามาพักผ่อนในช่วงฤดูร้อน

เราเดินตามทางเส้นสีน้ำเงินในแผนที่ข้างบน ใช้เวลาในการเดินประมาณ 2 ชั่วโมง

เมื่อเดินเข้ามาในปอมเปอีก็เห็นซากปรักหักพังของเมือง แต่ได้รับการบูรณะเป็นอย่างดี

บริเวณทางเข้ายังคงร่มรื่นอยู่ มีต้นไม้ยืนต้นและดอกไม้ดังรูป แต่หลังจากนั้นแดดจะแรงมากเพราะต้องเดินกลางแดดที่ไม่มีร่มเงาเลย ควรจะเตรียมแว่นตากันแดด หมวกหรือร่มมาด้วย

จะเห็นซากอาคารที่อยู่อาศัย สไตล์โรมัน ที่ถูกขุดค้นขึ้น และได้รับการบูรณะขึ้นใหม่

จากแผนที่เราเดินไปเรื่อยๆประมาณ 10 นาที มายัง Gladiators’ Barracks ซากอาคารของศูนย์อบรมนักต่อสู้สิงโต

สถานที่ตรงนี้ใช้เป็นที่ฝีกของGladiators โดยเป็นที่พักของเหล่าGladiators และครูฝึก ว่ากันว่าเมื่อก่อนเป็นอาคารสองชั้นแต่ถูกทำลาย ยังคงเห็นซากอาคารหลงเหลืออยู่

ซากเสาดอริกเรียงรายอยู่ แต่ก่อนมีเสาดอริกทั้งหมด 74 เสา เนื่องจากถูกเหตุการณ์ภูเขาไฟจึงถูกทำลายไปบางส่วน

ในสมัยโรมันจะมีหัวเสา 3 แบบคือดอริก, ไอโอนิค และโครินเธียน ที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวกรีก

1.ดอริก (Doric order) เน้นแข็งแรง ส่วนล่างใหญ่เรียวขึ้นบนเล็กน้อย หัวเสาแกะเป็นทางยาวแนวตั้ง หัวเสาเป็นแผ่นเรียบ วิหารส่วนใหญ่ของกรีกมักเป็นหัวเสาแบบนี้

2.ไอออนิก (Ionic order) เรียวกว่าแบบดอริก หัวเสาเป็นลายโค้งม้วนย้อย ทำให้เสาดูสูงเพรียว

3.โครินเธียน (Corinthian order) เน้นความหรูหรา ประดับยอดเสาด้วยลายใบไม้ มีความหรูหรามากกว่า

เสาดอริก

จากนั้นเราก็เดินไปย้งด้านหลังซึ่งเป็น เธียร์เตอร์ใหญ่ (The Great Theatre)

เป็นสนามกลางแจ้ง ที่สร้างขึ้น ในช่วงที่เมืองปอมเปอีตกอยู่ใต้อิทธิพลของโรมันใหม่ๆ ในช่วงประมาณปี 150-200 ปี ก่อน ค.ศ. เพื่อใช้ชมการแสดงต่างๆ ของชาวเมือง โดยจุผู้ชมได้ประมาณ 5,000 คน

สภาพของสนามในสภาพที่ดีมากแม้จะผ่านกาลเวลามานานกว่า 2,000 ปี

จากนั้นพวกเราก็เดินไปตามถนนของตัวเมืองปอมเปอี

เมืองปอมเปอีแบ่งออกเป็น 9 โซน โดยมีโครงสร้างถนนเป็นเครือข่ายเชื่อม ต่อถึงกัน ถนนของโรมัน นับว่ามีความมั่นคงแข็งแรงมาก นอกจากมีถนนสายหลักขนาดใหญ่แล้วยังมีถนน ขนาดกลาง และขนาดย่อย แยกเป็น ซอยต่างๆ ด้วย

พื้นปูด้วยหินบาซอลท์( basalt) และสองข้างถนนมีฟุตบาท ให้คนเดิน

จะเห็นร่องลึกๆอยู่บนถนน แสดงว่าเป็นรอยล้อของรถมาที่แล่นผ่านไปมาแต่ก็มีถนนหลายสายในปอมเปอีห้ามรถม้าแล่นในเวลาทำธุรกิจ

จะมีน้ำไหลตามถนนเพื่อทำความสะอาดถนน ดังนั้นจะห็นก้อนหินสูงขวางอยู่กลางถนนเพื่อเป็นทางน้ำไหลลงท่อส่งผลให้คนเดินข้ามถนนเท้าจะได้ไม่เปียกและบังคับคนให้เดินบนทางเท้าด้วย

นอกจากนี้ยังเป็นทางบังคับสำหรับรถม้าด้วย เช่นถ้ามีหิน 1 ก้อนเป็นทางวันเวย์ รถม้าสวนทางกันไม่ได้ ถ้า 2 ก้อนขึ้นไปสวนทางได้

เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้วเมืองปอมเปอี มีร้านสุรา ร้านอาหาร โรงแรม ร้านขนมปัง โรงมหรสพ และยังมีซ่องโสเภณีอีก แสดงให้เห็นถึงอารยธรรมที่เจริญมากๆ

บริเวณนี้ 2 ข้างถนนเป็นย่านร้านค้า

หลุมๆที่เห็นคือเตาสำหรับประกอบอาหาร

โม่ไว้สำหรับโม่แป้งและด้านหลังเป็นเตาอบ

โซนบ้านที่อยู่อาศัย

ถ้าสังเกตุดีๆ จะเห็นบันไดขึ้นชั้น 2ด้วย

หลังนี้น่าจะเป็นบ้านเศรษฐี เพราะเป็นบ้านมีบริเวณ เห็นสนามหญ้าอยู่ภายใน นอกจากนี้พื้นยังปูด้วยโมเสกอีกด้วย

เดินต่อไปเราก็ถึง Stabian baths เป็นโรงอาบน้ำสาธารณะของชาวโรมันสมัยก่อน ในเมืองปอมเปอีจะมี Forum Bath อยู่ 3 แห่งคือ Stabian baths, Forum baths, และ Central baths

ในสมัยนั้นชาวปอมเปอีมักใช้โรงอาบน้ำเป็นที่พบปะ ประชุม พูดคุย ถกกันในเรื่องต่างๆของชนทุกชั้น

ผู้ที่เข้ารับบริการที่โรงอาบน้ำแห่งนี้ ต้องทำตามแบบแผนทางเวชศาสตร์ คือต้องเริ่มจากห้องออกกำลังกาย แล้วจึงเข้าสู่ห้องอุ่นเป็นการปรับตัว จากนั้นจึงเข้าห้องร้อนและอบไอน้ำ ถึงเดินมาสู่ห้องอาบน้ำร้อนและน้ำเย็นเพื่อปรับสภาพผิว ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าที่นี่คือต้นแบบของสปาในปัจจุบันนั่นเอง

ยังคงเห็นร่องรอยการวาดภาพบนอาคาร

กูวเซปเป้ ฟีออเรลลี (Giuseppe Fiorelli)ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะนักโบราณคดี เขาได้คิดวิธีเก็บซากศพชาวปอมเปอี ไม่ให้เสียหาย โดยเการเจาะรูเล็ก ๆ แล้วหยอดปูนปาสเตอร์ลงไป เมื่อปูนแห้งก็ได้ออกมาเป็นรูปร่างของมนุษย์ที่เสียชีวิตในอิริยาบถต่าง ๆ ทำให้เห็นถึงท่าทางสุดท้ายของชาวเมืองหลายคนก่อนที่จะตาย และได้รูปร่างของมนุษย์ ในสภาพเกือบสมบูรณ์ที่สุด

ภายในจัดแสดงร่างของชาวเมืองในลักษณะต่างๆก่อนตายและไกด์ของเรากำลังอธิบายประกอบอยู่

ห้องแช่น้ำยังคงเห็นร่องรอยการตกแต่งอย่างสวยหรูด้วยภาพวาดปูนเปียก (fresco)

จุดเด่นของสถาปัตยกรรมของห้องอาบน้ำสาธารณะอีกอย่างหนึ่งก็คือ หลังคาเหนือโถงจะถูกเจาะเป็นช่องโล่งกลมเป็นรูโหว่ และลดหลั่นด้วยหลังคาลาดเอียง เพราะเมื่อฝนตก น้ำฝนก็จะไหลลงมาตามหลังคา ผ่านมายังสู่ที่เก็บน้ำที่สะอาด

พวกเราเดินต่อไป และก็เห็นกลุ่มคนจำนวนมากรอต่อแถวอยู่ดังรูป ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่ามันคือ Brothel ( ซ่องโสเภณี ) คุณไกด์อธิบายว่ามีโรงพยาบาลอยู่ใกล้ๆกัน และพูดติดตลกว่าถ้าเป็นอะไรจะได้หามส่งโรงพยาบาลได้ทัน

คิวที่จะเข้าไปดูยาวมาก พวกเราใช้เวลารอประมาณ 10กว่านาทีก็ได้เข้าไปชม

ซ่องโสเภณีโบราณนี้ถูกแบ่งเป็นห้องเล็กๆหลายห้องไว้สำหรับให้ชายหนุ่มใช้บริการ ภายในห้องเล็กๆ มีเตียงหินและมีฟูกที่ไว้ให้ชายชาวปอมเปอีโบราณไว้หาความสุขจากสถานที่แห่งนี้

มีภาพอิโรติกหลากหลายภาพบนฝาผนัง เป็นเมนูที่ลูกค้าเลือกที่จะได้รับบริการแบบไหน

คนเยอะมากจนเราต้องรีบเดินรีบออก ใช้เวลาในการชมประมาณ 5 นาที จากนั้นพวกเราก็เดินไปถึงThe Forum Square พื้นที่โล่งแจ้ง เป็นศูนย์กลางของการค้า ศาสนา และการเมืองของเมืองปอมเปอี ตั้งอยู่ตรงสี่แยกของถนนสายหลัก 2 สาย มีขนาด 124 ฟุต x 482 ฟุต ในอดีตจะมีรูปปั้นสลักตั้งเรียงรายอยู่มากมาย แต่ปัจจุบันจะถูกนำไปเก็บตั้งไว้ที่พิพิธภัณฑ์เมืองเนเปิลส์เป็นส่วนใหญ่

ซากปรักหักพักแต่เต็มไปด้วยอดีตที่ยิ่งใหญ่ จะเห็น Temple of Jupiter และ Temple of Apollo โดยมีภูเขาไฟวิสุเวียสเป็นฉากอยู่ด้านหลัง

The Forum Square

เทวสถานจูปิเตอร์ (Temple of Jupiter) อยู่ทางด้านใต้สุดในบริเวณฟอรัมของเมือง นับว่าเป็นเทวสถานสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเวลานั้น

เทวสถานเทพอพอลโล (Temple of Apollo) เป็นมหาวิหารที่สำาคัญที่สุดของเมือง ปอมเปอี และแสดงถึงการออกแบบ และก่อสร้างในสถาปัตยกรรมสไตล์ โรมันมีเสาโรมัน 48 เสา มีทั้งเสาแบบไอโอนิค และ แบบโครินเธียน เสาที่ยังคงมีการอนุรักษ์ไว้ เป็นอย่างดี

รูปปั้นโลหะ “เทพ อพอลโล” ทองบรอนซ์ที่เห็นอยู่นี้เป็นรูปปั้นจำลอง โดยที่ของจริงได้มีการเคลื่อนย้าย ไปเก็บรักษาไว้ที่ National Archeolo gical Museum เมืองเนเปิลส์ (Naples)

เราเดินออกมาก็เห็นคนมุงดูอาคารหลังหนึ่งอยู่

ที่แท้คนกำลังดูภาพร่างมนุษย์ที่แสดงอาการตายอย่างทุกข์ทรมาณ

ใกล้ๆกันมีอาคารแสดงข้าวของเครื่องใช้ในสมัยนั้น และมีร่างของสุนัขที่ตายอย่างทุรนทุราย

ท่าของผู้เสียชีวิตที่นั่งด้วยความกลัวและกำลังปิดหน้าปิดจมูกเพราะพิษจากควันพิษจากภูเขาไฟวิสุเวียส

เครื่องชั่งสมัยนั้น แต่ละช่องจะมีปริมาณตามกำหนด เมื่อจะซื้อสินค้าก็จะเอาของหรือผลไม้ใส่ในช่องต่างๆที่เห็นดังภาพ ก็จะได้ปริมาณตามต้องการ

basilica

พวกเราเดินประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงทางออก

พวกเราเดินผ่านซากอดีตเมืองอันยิ่งใหญ่และอลังการ ถ้าปอมเปอีไม่ถูกทำลายไปไม่รู้เลยว่าปอมเปอีจะเจริญมากแค่ไหน

คุณโจบอกว่ามาเที่ยวอิตาลี่ตอนใต้ต้องกินส้มสีแดง เพราะมีแต่ทางตอนใต้เท่านั้นที่ปลูก

เป็นอุดมด้วยวิตามินซี และสารฟลาโวนอยด์ที่มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระมีประโยชน์ต่อร่างกาย รสชาดอร่อย

อาหารกลางวัน เราทานภัตตาคารใกล้ๆกับปอมเปอี ลองชิมน้ำส้มสีแดงแก้วละ 5 ยูโร กินแล้วซื่นใจ อร่อยมาก

จากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อไป Castel Romano outlet ระยะทาง 250 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมครึ่ง

Outlet แห่งนี้ห่างจากกรุงโรมประมาณ 20 กิโลเมตร มีร้านค้ามากมาย เช่นValentino, Burberry, Feragamo, Calvin Klein , Guess ร้านเครื่องสำอางแบรนด์อิตาลี่ pupa และอื่นๆอีก ประมาณ 100 กว่าร้านค้า

เรามีเวลาเดินเล่นประมาณ 1.30 ชั่วโมง แต่เราก็ยังไม่ได้ซื้ออะไรจากที่นี่เลย นอกจากทานไอศครีมจากร้าน Lindt แท่งละ 2.3 ยูโรมี 2 ลูก

พวกเราเดินทางต่อไปที่โรม รับประทานอาหารจีนมื้อเย็น ด้วยความตระกละที่ไม่ได้กินข้าว( กินแต่เส้น) มาหลายวันแล้วจึงไม่ได้ถ่ายรูปอาหารเลยเพราะกินซะก่อน ในร้านอาหารส่วนใหญ่ในอตาลี่จะมี wifi ฟรี นะคะ แค่ขอ password จากพนักงานก็เล่นได้แล้วคะ

วันนี้เราพักที่โรงแรม Club House Hotel และมี free wifi ด้วยคะ โรงแรมอยู่ไกลจากตัวเมืองพอสมควรจึงไม่ได้ออกไปเที่ยวชมเมืองตอนกลางคืนคะ…เก็บแรงเที่ยววาติกันพรุ่งนี้ดีกว่าคะ

ตอนต่อไป กรุงวาติกัน

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here