เวนิส

30 พฤษภาคม 2557

คลิกก่อนหน้านี้ ฟลอเรนซ์

วันนี้เราออกเดินทาง 08.00 น. เพื่อเดินทางต่อไปยังเวนิชคะ วันนี้ก็นั่งรถนานเช่นเคย
ระยะทางจากปิซ่าถึงเวนิช 325 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 3ชั่วโมง 45 นาที

เมืองเวนิส (Venice) หรือ เมืองเวเนเซีย (Venezia)อยู่ในแคว้นเวเนโต (Veneto)ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวน 118 เกาะ เข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย(Venetian Lagoon) เป็นเมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลก และได้เป็นมรดกโลกในปี 1987

เมืองเวนิสมีประชากรอาศัยอยู่ราว 270,000 คน แบ่งเป็น 62,000 คน บริเวณเมืองเก่า(บนเกาะเวนิส), 176,000 คน ที่แผ่นดินใหญ่ และ 31,000 คนตามเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ

รถมาส่งพวกเราขึ้นเรือที่ท่านี้

ช่วงรอขึ้นเรือเราก็แอบถ่ายนกตัวนี้ เจ้าตัวนี้ไม่กลัวคนเลยโพสท่าถ่ายรูปเยอะมาก

เมืองเวนิสตั้งอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ 4 กิโลเมตร ปัจจุบันมีสะพานยาวสำหรับรถยนต์และรถไฟจากแผ่นดินใหญ่ไปถึงตัวเมือง สำหรับโดยสารโดยรถไฟ นั่งรถไฟจากสถานี Venice Mestre บนแผ่นดินใหญ่ ข้ามสะพาน Ponte della Liberta ไปลงที่สถานี Venezia Santa Lucia บนเกาะเวนิส ใช้เวลาราวๆ 10 นาทีเท่านั้น กับโดยสารทางเรือ

บนเกาะเวนิสไม่มีถนนให้รถวิ่ง ผู้คนเดินทางโดยทางน้ำหรือเดินเท่านั้น ทางน้ำจะมีเรือยนต์ประจำคล้ายเรือเมล์และเรือแท็กซี่ที่สามารถเช่าเหมาลำไปได้ทุกที่ที่ต้องการ

รถมาส่งเราที่Mestre ซึ่งเป็นแผ่นดินใหญ่และส่งพวกเราที่ท่าเรือ เพื่อนั่งเรือชื่นชมกับธรรมชาติทางน้ำของเวนิส
โปรแกรมเที่ยวคือนั่งเรือเพื่อขึ้นฝั่งเวนิส(ตามเส้นแดง ) และเดินชมเมืองบริเวณ san marcoจากนั้นพวกเราก็ล่องเรือ Gondola เพื่อชมคลองเล็กคลองน้อย

เมื่อได้เวลาพวกเราก็ขึ้นเรือ ซึ่งเป็นเรือTaxi ลำไม่ใหญ่ไม่เล็ก สามารถจุพวกเรา 13 คนได้หมด ใช้เวลาในการนั่งเรือ 20 นาที

พวกเราขึ้นเรือลักษณะนี้ไปข้ามไปยังเกาะเวนิส

ในสมัยโบราณมีชาวโรมันที่หนีสงครามมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะนี้ สมัยก่อนเป็นเกาะเล็กๆ กลางอ่าวที่รกร้าง เมื่อคนเยอะขึ้น เมืองก็ต้องขยายตัวขึ้นตาม ชาวเมืองจึงตอกเสาเข็มไม้จำนวนมากลงไปในท้องทะเลซึ่งเป็นดินเลนอ่อนนุ่ม จนสร้างบ้านขึ้นเป็นกลุ่มๆ และเกิดเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยเชื่อมต่อกันด้วยสะพานข้ามคลอง จนกลายเป็นเป็นมหานครเวนิส เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมืองลอยน้ำนี้ คือเกาะเล็กเกาะน้อยที่มีมากถึง 118 เกาะ เชื่อมต่อกันด้วยสะพานกว่า 400 แห่ง ลำคลองใหญ่น้อยเกือบ200 สาย ด้วยเหตุนี้ Venice จึงได้รับการขนานนามว่าเมืองแห่งสายน้ำและเมืองแห่งสะพาน

เรือแล่นผ่านคลอง “Canale della Giudecca”หรือ Grand Canal ลำคลองมีความยาวคดเคี้ยวประมาณประมาณ 3.5 กิโลเมตร กว้าง 30-70 เมตร ลึก 5 เมตร คลอง Grand Canal แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง โดยจะมีสะพาน 4 สะพานใหญ่เชื่อมระหว่าง 2 ฝั่งเข้าด้วยกัน

วิว 2ข้างทางบน Grand Canal

ออกจากท่าเรือพวกเราก็เดินไปทางขวามือ จะเห็นนักท่องเที่ยวเยอะมากแต่ไกล

เรือมาส่งเราที่ท่าเรือ เมื่อเดินออกจากท่าเรือเราก็เห็น เปียซซ่า ซาน มาร์โก (Piazza San Marco) แล้ว จุดเด่นคือจะมีเสาสูง 2 ต้นที่นำมาจากเมืองคอนสแตนติโนเปิลตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 และข้างๆกันจะเห็น หอสมุดแห่งชาติ มาร์ชีอานา (Biblioteca Nazionale Marciana)

พวกเราก็เจอกับจตุรัสที่ใหญ่มาก

Piazza San Marco จตุรัสนี้มีลักษณะเป็นตัวแอลกลับด้าน ยาว 175 เมตร กว้าง 160 เมตร มีอาคารล้อมรอบสามด้าน เต็มไปด้วยฝูงนกพิราบ ร้านกาแฟ และร้านค้าต่างๆ นโปเลียนเคยนิยามความงดงามของเปียซซ่า ซานมาร์โก ว่าเป็น ซานมาร์โกว่าเป็น “ห้องวาดภาพแห่งยุโรป” (The finest drawing room in Europe) เพราะไม่ว่าจะมองไปมุมไหนในจัตุรัสกลางเมืองเวนิสแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยศิลปะอันงดงาม เพราะรวบรวมสถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่น มหาวิหารและหอนาฬิกาซานมาร์โค , พระราชวังดอจ์ด , หอสมุดแห่งชาติ มาร์ชีอานา เป็นต้น

ตรงทางเข้าที่ติดกับGrand Canal มีเสาคอลัมน์ใหญ่สองต้นเป็นเหมือนกับประตูบ้านที่เปิดเข้าสู่จัตุรัสแห่งนี้ ต้นแรกมีรูปสิงโตมีปีกเท้าข้างขวาเหยียบพระคัมภีร์ สัญลักษณ์ของนักบุญมาร์ค (St. Mark)ผู้นิพนธ์พระวรสารและองค์อุปถัมภ์ของเมืองปัจจุบัน ต้นที่สองมีรูปนักบุญเทโอโดโร (St. Theodore)เหยียบจรเข้ องค์อุปถัมภ์ของเมืองในอดีต

หอสมุดแห่งชาติ มาร์ชีอานา (Biblioteca Nazionale Marciana) เป็นสถาปัตยกรรมแบบเรเนซองส์ (renaissance) เป็นหอสมุดเก่าแก่แห่งหนึ่งและ เป็นที่รวบรวมหนังสือสมัยโบราณที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ฝั่งตรงข้ามจะเป็นและพระราชวังดอร์จ
พระราชวังดอจ์ด (Doges Palace) หรือวังดูคาเล (Palazzo Ducale) เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ในอดีตเป็นที่พักของผู้ปกครองเวนิซ ซึ่งเรียกว่า Doge ก่อสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 แต่เกิดเพลิงไหม้และได้รับการบูรณะและก่อสร้างเพิ่มเติมในระหว่างศตวรรษที่ 14 และ 15 ได้รับการตกแต่งและก่อสร้างเพิ่มเติมหลายครั้ง ภายในตกแต่งด้วยศิลปะหลายยุคสมัย แบ่งเป็นห้องต่างๆ มากมาย ประดับไว้ด้วยภาพวาดโดยศิลปินเวนิสหลายราย

วังแห่งนี้ยังมีคุกขังนักโทษอยู่ชั้นใต้ดิน ซึ่งถูกเชื่อมด้วยทางเดินแคบๆ ไปยังสะพานข้ามคลองสู่แดนคุมขัง สะพานแห่งนี้จึงมีชื่อเรียกว่า สะพานถอนหายใจ (Ponte dei Sospiri หรือ Bridge of Sighs) ตามอาการของนักโทษที่เดินข้ามสะพานก่อนที่จะหมดอิสรภาพ

ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้ผู้สนใจได้เข้าชม

เดินผ่านพระราชวังดอจ์ด เราก็เจอกับฝูงชนจำนวนมากจริงๆ

ใกล้ๆกับพระราชวังเราก็เห็น สะพานถอนหายใจอยู่ข้างๆกัน

สะพานถอนหายใจ ( Bridge of Sighs) เป็นสะพานเก่าแก่ที่เชื่อมต่อระหว่างวังดูคาเล กับคุกเก่า ออกแบบโดย Antoni Contino ในปี ค.ศ.1602 สร้างจากหินปูนสีขาว สะพานนี้ใช้เดินข้ามเพื่อไปเข้าคุกที่อยู่อีกฝั่ง วิวที่เห็นจากสะพานนี้จะเป็นวิวที่สวยงามของเมืองเวนิส แสงสว่างที่เห็นจากช่องสะพาน นักโทษจะได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้าคุก และจะถอนหายใจด้วยเหตุผลนี้ เพราะรู้ตัวว่าจะไม่มีโอกาสเดินออกมาเห็นแสงสว่างอีกแล้ว

เรามารับประทานอาหารเที่ยงโดยทาน สปาเก็ตตี้หมึกดำ กับ seafood และ ทิรามิสุเป็นขนมหวาน พอกินสปาเก็ตตี้ไปแล้วทั้งปากและฟันดำกันทุกคนเลย

หลังจากรับประทานอาหารแล้วพวกเราก็ไปนั่งเรือ Gondola กัน

มีการอ้างถึงเรือชนิดนี้เป็นครั้งแรกใน ปี ค.ศ. 1094 เรือกอนโดล่าได้รับการออกแบบมาให้เหมาะกับสภาพของคลองที่มีความตื้นเขิน เต็มไปด้วยโคลน แรกเริ่มเดิมทีเรือกอนโดล่ามีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบันมาก มักมีเก๋งวางอยู่กลางลำเรือ พอถึงปี1930 จึงได้มีการนำเก๋งออกไป พร้อมกับมีการดัดแปลงลำเรือ ด้านซ้ายเรือจะยาวกว่าด้านขวาเรือ เพื่อให้ได้ดุลกับน้ำหนักตัวคนแจวที่เอียงไปข้างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ความเร็วของเรือดีขึ้น จึงนิยมใช้เป็นพาหนะที่ชาวเวนิสใช้ในการเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ

จุดขึ้นเรือ Gondola มีให้ขึ้นหลายจุด พวกเราขึ้นท่าเรือตรงนี้

ในศตวรรษที่16 เวนิสมีกอนโดลาถึงหนึ่งหมื่นลำ แต่ละลำตกแต่งด้วยเครื่องประดับและการแกะสลักอย่างหรูหราเป็นการอวดฐานะของเจ้าของเรือที่มักเป็นเศรษฐี จนกระทั่งทางการเห็นว่าจะมากเกิน จึงสั่งห้ามตกแต่งเรือกอนโดลาอีกต่อไป จึงเป็นสาเหตุที่กอนโดลากลายเป็นสีดำ

Gondola คล้ายเรือแจวท้องแบน แต่ที่หัวมีซี่หกซี่และท้ายที่โค้งงอ หนัก 700 กิโลกรัม ประกอบด้วยชิ้นส่วนที่แยกกันถึง 280 ชิ้น ด้านซ้ายเรือจะยาวกว่าด้านขวาเรือ เพื่อให้ต้านทานแรงขณะพายหมุนไปทางซ้ายตามลักษณะการพายที่สืบทอดกันมา

ไฮไลท์ของการมาเวนิสก็คือการนั่งเรือ Gondola สักครั้งหนึ่ง จะเห็นว่ามีคนต่อแถวรอขึ้นเรือยาวมาก ค่าโดยสารราคา120 ยูโรต่อเที่ยวต่อ 6 คนใ ช้เวลาประมาณ40 นาที พวกเรานั่งเรือกัน 4 คน กำลังพอดี เพราะพอจะขยับที่ทางเวลานั่งเรือพอได้บ้าง

คลองเล็กๆแต่มีเรือจำนวนมากทั้งเรือยนตร์และ Gondola กลิ่นของคลองไม่น่าภิรมย์เท่าไหร่ ด้วยกิจกรรมต้องหามุมสวยๆถ่ายรูป ทำให้พวกเราลืมเรื่องกลิ่นของคลองไปเลย พวกเราถ่ายรูปสนุกสนาน และพยายามที่จะย้ายที่เพื่อถ่ายรูปแต่คนพายเรือดุไม่ให้ย้ายเพราะเดี่ยวเรือจะเสียสมดุล

คนพายเรือพาเราไปยังคลองแคบๆก่อนจากนั้นก็พาออกไป Grand Canal ซึ่งเป็นไฮไลท์ในการนั่งเรือ Gondola เรือ Gondola พาเราสู่ Grand Canal

สะพานริอัลโต (Rialto )เป็นหนึ่งในสะพานข้ามแกรนด์คาแนลที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาถ่ายรูปมากที่สุด สะพานแห่งนี้มีความเก่าแก่ที่สุด สร้างขึ้นครั้งแรกด้วยไม้ในปี ค.ศ.1181 แต่เกิดการผุพังขึ้นเรื่อยๆกระทั่งในช่วงปี ค.ศ.1588-1591 ได้มีการรื้อและสร้างใหม่ด้วยหินอย่างแข็งแรงดังที่เห็นในปัจจุบัน สะพานรีอัลโตเชื่อมระหว่างเกาะ San macro กับเกาะ San polo โดยบริเวณตีนสะพานทั้งสองฝั่งคลาดคล่ำไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ ตลาดสด และร้านรวงขายสินค้านานาชนิด

เราเห็นสะพาน Rialtoอยู่เบื้องหลังเรา

ปัจจุบันมีเรือกอนโดลาเหลืออยู่ในเวนิสเพียง 400 ลำ และมีการต่อขึ้นใหม่แค่ 4 ลำต่อปี เรือแต่ละลำจะใช้การได้อยู่ประมาณ 20 ปี จากนั้นจะถูกส่งไปเกาะ Murano เพื่อทำเป็นฟืนในการหลอมแก้ว

ราคาเรือประมาณ 6หมืนกว่ายูโร หรือ 2ล้าน5แสนบาทต่อลำ

Gondoliers หรือคนแจวเรือ เป็นอาชีพสงวนของที่นี่ เพราะต้องเป็นคนในตระกูล Gondolier เท่านั้นถึงจะทำได้และ เป็นการปกป้องวิชาชีพของพวกเขาอีกด้วย

โฉมหน้าคนพายเรือ Gondola ขณะที่ล่องเรือเขาไม่ร้องเพลงเหมือนที่มีการบอกเล่ามา

ชื่นชม 2 ข้างทาง

ปัจจุบัน นครเวนิสกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เนื่องจากเวนิสอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเพียงไม่กี่นิ้ว ทำให้ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมเกือบทุกปีและทำให้นครแห่งนี้ทรุดลง 1 นิ้ว ทุก ๆ สิบปี ทำให้มีความพยายามของผู้ที่เกี่ยวข้องในการที่จะป้องกันไม่ให้เมืองนี้ต้องจมลงสู่ท้องทะเล

ถ้านั่งเป็นคู่ก็จะได้บรรยากาศไปอีกแบบ

หลังจากนั่งเรือจนเมื่อยแล้ว พวกเรา เดินผ่าน Piazza San Marco เพื่อไปเดินดูแหล่งShopping ของที่นี่ มีร้านขายของมากมายทั้งร้านค้า Brand name เช่น Louis Vuttion , Dior ,Channel เป็นต้น และร้านขายของที่ระลึก

ด้านในอาคารเป็นร้านขายของมากมาย โดยเฉพาะร้านขายของที่ระลึก ราคาไม่แพง เหมาะที่จะเป็นของฝากได้อย่างดี เราก็ได้ของฝากจากร้านแถวๆนี้แหละ

นอกจากการท่องเที่ยวแล้วเวนิส ยังเป็นแหล่งอุตสาหกรรม เครื่องแก้ว เครื่องประดับ ผ้าลูกไม้

มีแก้วเป่าจากโรงงานเป่าแก้วมูราโน จัดเป็นงานฝีมือที่มีชื่อเสียงของเวนิส มีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่เครื่องประดับชิ้นเล็ก เครื่องแก้ว กรอบรูป แจกัน ฯลฯ

หน้ากากแฟนซี เวนิสนั้นขึ้นชื่อในเรื่องของเทศกาลคาร์นิวัล จึงมีหน้ากากแฟนซีหลากแบบหลายสไตล์ให้เลือกมากมาย ประดับประดาด้วยวัสดุสวยงาม

หลังจากนั้นเราก็เดินไปจนปลายสุดของจตุรัส เราก็เห็น มหาวิหารซานมาร์โก

มหาวิหารซานมาร์โก( Basilica di San Marco)โบสถ์สำคัญแห่งเมืองเวนิสที่เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ.823 เพื่ออุทิศให้แก่นักบุญมาร์ค (St.Mark) ที่ชาวเวนิสนับถือ แต่เกิดเพลิงไหม้ในปี ค.ศ.1071 ด้วยเหตุนี้มหาวิหารแห่งนี้จึงผสมผสานศิลปะของหลายยุคขึ้นไว้ด้วยกัน ตั้งแต่ไบเซนไทน์ โรมาเนสก์ โกธิค จนถึงเรอเนสซองซ์ หลังคาของมหาวิหารซานมาร์โกสร้างแบบโดมสุเหร่าของศาสนาอิสลาม มีทั้งหมด 5 โดม โดมกลางมีขนาดใหญ่ที่สุด และ ด้วยความงดงามอลังการของการประดับโมเสกสีทองอร่ามตั้งแต่หลังคาจรดพื้น จึงได้รับสมญานามว่า “Church of Gold” มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอำนาจและความเจริญรุ่งเรืองของเวนิสในยุคนั้นอีกด้วย

ภายในมหาวิหารยังมีแท่นบูชาซึ่งบรรจุร่างของนักบุญมาร์คไว้ด้านล่าง โดยด้านหลังของแท่นบูชา คือ ปาลา โดโร (Pala D’oro หรือ Golden Altarpiece) ภาพชีวิตของพระเยซูที่ทำด้วยทองคำลงยา 255 แผ่น ตลอดจนภาพเขียนเก่าแก่อื่นๆ หลายภาพที่ประดับด้วยทองคำและอัญมณีล้ำค่า

โดม ได้รับการตกแต่งด้วยศิลปะที่แตกต่างกัน ทางด้านหน้าได้รับการประดับด้วยรูปปั้นของนักบุญมาร์ค
ตอนนี้กำลังซ่อมแซมอยู่จึงเห็นโดมแค่อันเดียว ขนาดเห็นอันเดียวยังสวยขนาดนี้ เสียดายจังที่ไม่ได้เห็นทั้งหมด

Basilica di San Marco

ด้านหน้าโบสถ์เป็นซุ้มประตูโค้ง 5 ช่อง แต่ละช่องประดับด้วยโมเสกสีทองจากกรีซ มีภาพการเชิญศพนักบุญมาร์คมาเวนิส

ลานกว้างซานมาร์โค เห็นหอระฆัง Campanile สร้างขึ้นแทนหอเดิมที่ล้มลงในปี ค.ศ. 1902 สร้างเสร็จสมบูรณ์ ค.ศ. 1912 สร้างจาก อิฐสี่เหลี่ยมเรียงกันเป็นชั้นๆ เหนือขึ้นไปมีระเบียงล้อมรอบหอระฆัง ซึ่งประกอบด้วยระฆัง 5 ใบ

หอระฆัง Campanile di San Marco หอนี้สูง 98.6 เมตร สูงเด่นอย่างชัดเจน และเป็นจุดชมวิวของเมืองเวนิส

หอนาฬิกา Clock Tower (Torre dell’Orologio)สร้างประมาณ ปี ค.ศ.1496 เป็นนาฬิกาโบราณ ตั้งอยู่บริเวณลานกว้างข้างโบสถ์ San Marco

บนยอดมีเครื่องกลรูปแขกมัวร์ทำจากสำริดทำหน้าที่คอยตีบอกเวลา

ลานนี้มีคนนั่งพักผ่อนและอาบแสงแดดดูสบายๆ

พวกเราไม่ได้ขึ้นไปชมวิวบนหอระฆังเลย เพราะมัวแต่ห่วงซื้อของฝาก เมื่อได้เวลานัดแล้วพวกเราจึงเดินทางกลับไปขึ้นเรือที่ท่าเดิม

ตรงข้ามกับท่าเรือจะเห็นโบสถ์ San Giorgio Maggior ตั้งอยู่บนเกาะ Giorgio Maggior ออกแบบโดย Andrea Palladio เป็นสถาปัตยกรรมแบบเรเนซองส์(renaissance) สร้างในช่วงค.ศ.1566 ถึง ค.ศ. 1610.

พวกเรานั่งเรือกลับไปทางเดิมเพื่อขึ้นรถบัส โรงแรมที่พวกเราพักอยู่ฝั่ง Mestre ใช้เวลาเดินทาง 30 นาที เย็นนี้ทานอาหารจีนที่ข้างโรงแรม

มื้อนี้อร่อยมากคะ มีไข่เจียวด้วย คิดถึงอาหารไทย

หลังจากทานอาหารเย็นแล้วพวกเราก็กลับห้องนอน วันนี้นอนที่โรงแรม Apogia Sirio Hotel

เที่ยวเมืองเวโรน่า

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here