Cinque Terre (Monterosso al Mare)
คลิกก่อนหน้านี้ Cinque Terre: Manarola – Vernazzaพวกเรานั่งเรือจากเมืองVernazza สู่เมือง Monterosso al Mare ใช้เวลา 10 นาที
เมื่อเริ่มออกเดินเรือเราแทบนั่งไม่ติดเลยเพราะทิวทัศน์ที่สวยงาม ทำให้เราต้องถ่ายรูปตลอด
นั่งเรือมาเกือบ 10 นาทีก็ถึงเป้าหมายอยู่ข้างหน้า
Monterosso al Mare มอนเตรอสโซ อัล มาเร เป็นเมืองที่มีหาดทรายและชายหาดยาวกว่าเมืองอื่นๆใน 5 เมืองมีเนื้อที่ 11.25 ตารางกิโลเมตร เมืองถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Old Town, New Town โดยมีอุโมงเชื่อมตรงกลาง
Old Town คือส่วนที่มีปราสาทของเมือง และ โบสถ์ New Town ส่วนที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว มีสถานีรถไฟ และท่าเรือเฟอร์รี่
เห็นหาดยาวๆและร่มชายหาดมาแต่ไกล
ถึงหมู่บ้านแล้วคะ เรือมาส่งเราฝั่ง Old Town
กิจกรรมของนักท่องเที่ยว
ทุกๆมุมของหมู่บ้านดูน่าถ่ายรูปไปหมด
ฝั่งซ้ายขวาดูสวยไปหมด
หาดที่เมืองนี้เป็นหาดทราย นักท่องเที่ยวนอนอาบแดดกันมากมาย
ป้อมปราการ Aurora Tower และปราสาท ตั้งบนยอดเขา San Cristoforo Hill อยู่ระหว่าง Old Town กับ New Town สมัยก่อนใช้เป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันการโจมตีจากโจรสลัด มี 13 หอคอย แต่ปัจจุบันถูกทำลายลงเหลือเพียง หอคอย 3 หอคอยและตัวปราสาทก็ถูกทำลายด้วยเช่นกัน
พวกเราเข้ามาเดินผ่าน Piazza Garibaldi จตุรัสใหญ่ เพื่อเที่ยวชมเมืองและรับประทานอาหารกลางวัน
Clock Tower นาฬิกาและหอระฆัง ตั้งโดดเด่นอยู่บริเวณ Old Town
คนไม่พลุกพล่านเหมือน 2 เมืองที่ผ่านมา
ร้านค้าตกแต่งอย่างน่ารัก
วันนี้พวกเรารับประทานอาหารกันบ่ายกว่าๆ
เราเริ่มเอียนเส้นพาสต้าแล้ว เลยกินแต่ปลาเดี๋ยวถ้าหิวขึ้นมาไปหาเอาดาบหน้า
พวกเราเดินไปเยี่ยมชมโบสถ์ Santa Croce Oratory
ทางเดินเข้าโบสถ์
โบสถ์ที่นี่ดูเรียบง่ายทำจากหินอ่อน 2 สี ขาวและดำ
ภายในตกแต่งสวยงาม
ออกจากโบสถ์ก็มีมุมน่ารักๆหลายที่ให้พวกเราเดินเล่นต่อ
ตึกสีสันสวยงาม
เราเดินไปจตุรัสเล็กๆ Piazza don Giovanni Minzoni มีโบสถ์ 2 แห่งอยู่ใกล้กัน
โบสถ์ทำจากหินอ่อน 2 สี ขาวและดำ สไตล์บารอค
Chapel of Mortis et Orationis
ด้านในตกแต่งสวยงาม
บนเสามีรูปปั้นโครงกระดูกอยู่ เพื่อระลึกว่าความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว
เราเดินต่อไปอีกโบสถ์ Church of San Giovanni Batista อยู่ใกล้ๆกัน
โบสถ์นี้สร้างในช่วงศตวรรษที่ 13-14 ศิลปะแบบโกธิค
เสาของโบสถ์ก็ทำจากหินอ่อน 2 สีเช่นกัน ด้านในตกแต่งสวยงาม
เดินออกมาก็เจอกับมุมน่ารักอีก
บนกำแพงมีภาพความเสียหายของเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2011 ซึ่งเมืองนี้ก็เจอภัยพิบัติหนักเช่นกัน
ภาพเหตุการณ์น้ำท่วม
รูปปั้นโลหะไว้อาลัยจากเหตุการณ์น้ำท่วม
เดินออกมาตรงจุดนัดพบ ก็เห็นนักท่องเที่ยวนอนตากแดดกัน
พวกเราเดินผ่านอุโมงเพื่อไปอีกฝั่ง New Town
อีกฝั่งก็เห็นชายหาดและร่มบังแดดอยู่
ร่มสีสันคัลเลอร์ฟลูเหลือเกิน
หาดนี้เป็นที่นิยมมาก คนเต็มหาดไปหมดเลย
Monterosso Giant ยักษ์ประจำเมือง ชื่อภาษาอิตาเลี่ยน Il Gigante อิล จิกานเต สูง 14 เมตร น้ำหนัก 1700 ตัน สร้างขึ้นประมาณปี ค.ศ.1910 โดยศิลปินชาวอิตาเลี่ยนเชื้อสายยิวชื่อ Arrigo Minerbi เพื่อต้องการให้เป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่รูปแกะหลักจากหินนี้โดนระเบิดเสียหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองทำแขนหัก และหายไปในทะเล และกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ Monterosso
อีกฝั่งก็สวย
พวกเราขึ้นรถไฟเพื่อกลับไปยังสถานี La Spezia
La Spezia(ลา สปีเซีย) เป็นเมืองท่าเรือริมทะเลลิกูเรีย ในอดีตเป็นเมืองการค้าที่สำคัญและถือว่าเป็นแหล่งค้าขายขนาดใหญ่
ออกมาจากสถานีก็มาเจอกับวงเวียนนี้
พวกเราออกจากเมือง La Spezia เวลา 16.00 น. ขึ้นรถบัสและเดินทางกลับไปทานอาหารเย็นที่เจนัว วันนี้รถติดมากมายใช้เวลาในการเดินทางกลับ 3 ชั่วโมงครึ่ง(จากปกติแค่ 1 ชั่วโมง) พวกเราถึงร้านอาหารเกือบ 2 ทุ่ม
ตึกรามบ้านช่องเมืองเจนัวตกแต่งแปลกตา ดูน่าสนใจ
วันนี้เราทานอาหารอิตาลี่เช่นเคย…บอกตามตรงเราคงเบื่ออาหารอิตาลี่ไปอีกนาน เราใช้เวลาทานอาหารถึง 20.30 น. ร้านค้าใน COOP ปิดหมดแล้วเลยไม่ได้ซื้ออะไรเลย
วันนี้เรากลับไปพักโรงแรมเดิม Holiday Inn Genoa Hotel และจัดกระเป๋าเพื่อเดินทางกลับกทม.
2 มิถุนายน 2557
ด้วยรถติดมากของเมื่อวานนี้ ทำให้พวกเราต้องออกเดินทางเร็วขึ้นเพื่อไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินมิลานเราจึงต้องออกเดินทางจากโรงแรม 07.00น
อำลาเมืองเจนัวอีกครั้ง
ระยะทางจากเจนัวสู่สนามบินมาเพนซ่า ( Malpensa International Airport) 179 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง สนามบินกำลังปรับปรุงเพื่อต้อนรับ World Expo ที่มิลานในปี 2015 จึงมีสินค้าให้เลือกซื้อไม่มากนัก คาดว่าเมื่อปรับปรุงสนามบินเสร็จจะเห็นร้านค้า Brand Name หลากหลายขึ้น
พวกเรากลับกรุงเทพโดยเที่ยวบิน TG 941 ใช้เวลาเดินทาง 11 ชั่วโมง พวกเราได้เที่ยวตามโปรแกรมที่ต้องการถึงแม้ว่าจะใช้เวลาในการเที่ยวแต่ละที่น้อยไปหน่อย แต่ก็สร้างความประทับใจให้พวกเรามาก