มาดริด
การไปเที่ยวสเปนเป็นประเทศที่เราวางแผนจะไปเที่ยวหลายปีแล้ว แต่ก็เลื่อนมาตลอด ปีนี้พวกเราก็ได้ฤกษ์เที่ยวกันสักที โดยเราจองทัวร์ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เพื่อทัวร์จะได้ไม่เต็มซะก่อนแบบปีที่แล้ว
การเตรียมตัวก็ไม่ต้องมีอะไรมากเพราะบริษัททัวร์จัดการให้เสร็จ แค่เพียงแต่ Visa spain เท่านั้นที่พวกเราต้องไปสแดงตัวให้เขาเห็น โดยบริษัททัวร์จะนัดให้เราไปสัมภาษณ์ที่อาคาร Interchange 21 ถ.สุขุมวิท ใช้เวลาในการพิจารณาไม่น้อยกว่า 15 วัน ซึ่งเราไปยื่นวันที่ 19 เม.ย.กว่าสถานทูตจะอนุมัติก็ประมาณวันที่ 30 เม.ย. เกือบไม่ได้ไปแนะ
และก็ถึงวันเดินทางพวกเราขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ เดินทางไปกรุงมาดริค เที่ยวบิน EY405 และแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินอาบูดาบี้และเดินทางต่อไปยังกรุงมาดริด เที่ยวบิน EY075 ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 16 ชั่วโมง
ที่สนามบินนี้มีร้าน Duty Free และมีสินค้ามากมาย เช่นเครื่องสำอาง น้ำหอม กระเป๋า นาฬิกา ขนม ซ็อคโกแลต ถั่วต่างๆ แต่ราคาก็แพงเอาการเมื่อเทียบกับ Duty free ที่ไทย เราจึงไม่ได้ซื้ออะไรเลย
พวกเราเดินทางมายาวนาน ในที่สุดก็ถึงกรุงมาดริด ไกด์ก็ชวนพวกเราพูดคุยตามธรรมเนียมปฏิบัติของทัวร์ โดยเราเรียนรู้ภาษาสเปนง่ายๆเช่น
Hola (โอละ) แปลว่าสวัสดี ใช้ได้ทุกโอกาส
gracias (กราซีอัส) แปลว่า ขอบคุณ
จำแค่ 2 คำก็พอหากินได้แล้วละ
นั่งไปได้สักพักไกด์ก็พาเราไปเที่ยวพระราชวังหลวง (The Royal Palace of Madrid)
รถบัสมาจอดที่จอดรถใต้ดิน จากนั้นเราก็เดินทางไปชมพระราชวังหลวง เราเดินผ่าน Plaza Espana เป็นสวน ที่จัดตกแต่งสวยงาม
มีรูปปั้นของ มิกูเอล เด เซร์บานเตส (Miguel de Cervantes) นักประพันธ์ชาวสเปน ผู้แต่งนิยายเรื่อง สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ หรือ ที่รู้จักกันดี ดอน กีโยเต้ อยู่ด้านบนและด้านล่างเป็นรูปปั้น ดอน ดอนกิโฆเต้ (Don Quixote) กับ ลูกน้องคนสนิท ซานโช (Sancho)
ใกล้ๆกันบริเวณสวนมีรูปป้้น เรียงรายอยู่
ไกด์พาเราเดินมาสักพักก็ถึงพระราชวังหลวง
พระราชวังหลวง( Royal Palace of Madrid ) หรือที่ภาษาสเปนจะเรียกกันว่า The Palacio Real de Madrid( ปาลาซิโอ เรอัล ) สร้างในสมัยพระเจ้า ฟิลิปที่ 5 (Felipe V) แห่งราชวงศ์บูร์บง เมื่อปี 1734 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียน 2 คนคือ Filipo Juvara และ Giovan Battista Sacchetti มีการผสมผสานสถาปัตยกรรมอิตาเลี่ยนเเละฝรั่งเศส ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างนานถึง 25 ปี
พระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แทนของเดิมที่ถูกไฟไหม้ ตัวอาคารสร้างด้วยหินทั้งหลัง สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ดัดแปลงมาจากกรีกหรือโรมัน เรียก Neo Classical Architecture ออกเป็นอาคารสูงสามชั้นที่มีลักษณะคล้ายๆ กับพระราชวังเเวร์ซายน์ที่ฝรั่งเศสแต่มีขนาดเล็กกว่า
พวกเรามารอที่หน้าประตู ไกด์ก็แจกตั๋วให้คนละใบ ค่าเข้าชมคนละ 9 ยูโร และก่อนเข้าไปข้างใน เขาจะแจกหูฟัง เพราะไม่ต้องการให้เกิดเสียงดังเวลาไกด์บรรยาย และที่สำคัญห้ามถ่ายรูปข้างในพระราชวังเด็ดขาด จึงได้ถ่ายรูปแค่เพียงด้านนอกเท่านั้น ใช้เวลาเดินชมประมาณ 1 ชั่วโมง
ตัวพระราชวัง มีห้องทั้งหมด 2,800 ห้อง มีพื้นที่ทั้งสิ้น 135,000 ตารางเมตร แต่เขาเปิดให้ชมเพียง 50 ห้อง เมื่อเดินเข้ามาก็จะผ่านห้องจำหน่ายหนังสือและของที่ระลึกซึ่งอยู่ด้านขวาของลานหน้าพระราชวัง จากห้องพักรอ (anterooms) ถึงบันไดใหญ่ (grand staircases) ไปจนถึงห้องรับรองใหญ่ (reception rooms) แต่ละห้องมีการตกแต่งที่หรูหราและอลังการ
บริเวณด้านในตกแต่งสวยงามตั้งแต่ทางขึ้นบันไดไปจนถึงห้องโถง รวมทั้งโคมแชงเดอร์เรีย'(Chanderlier) สวยงามยิ่งนัก
รูปปั้นสิงห์โต 2 ตัว นั่งเด่นอยู่ที่บันได
พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งอารากอน หรือ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 5 แห่งคาสตีล(ทรงขึ้นครองราช เมื่อ พ.ศ. 2022 – พ.ศ. 2059 ทรงอภิเษกกับพระนางเจ้าอีซาเบลที่ 1
Isabel I de Castilla สมเด็จพระราชินีนาถอีซาเบลที่ 1 แห่งคาสตีล พระมเหสีใน พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งอารากอน พระนางทรงอนุมัติให้คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสไปแสวงหาดินแดนโพ้นทะเลและจนสำรวจพบทวีปอเมริกา พระนางจัดได้ว่าเป็นนักปกครองที่ได้รับการกล่าวชื่อในประวัติศาสตร์ พระนางได้ทำให้ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเจริญอย่างมากในสเปน
พวกเราเดินผ่านห้องต่างๆ โดยจะมีห้องโถง ห้องแต่งตัว ห้องทานอาหารเข้า กลางวัน และเย็น โดยศิลปะการตกแต่งแบบรอคโคโค ที่สวยงาม ห้องรอเข้าเฝ้า ห้องกระเบื่องเคลือบ ซึ่งแสดงถึงความหรูหราของกษัตริย์ ซึ่งสมัยก่อนประชาชนทั่วไปไม่มีโอกาสใช้ถ้วยกระเบื้องนอกจากชนชั้นสูงเท่านั้น ห้องจัดเลี้ยงซึ่งมีถึง 150 ที่นั่งและในปัจจุบันก็ยังคงใช้จัดเลี้ยงแขกบ้านแขกเมืองอยู่
นอกจากนี้ภายในห้องต่างๆยังประดับประดาด้วย เครื่องแก้ว พรมที่หรูหรา รูปวาดโดยจิตกรเอกของสเปนรวมทั้งโคมแชงเดอร์เรีย ไกด์บรรยายว่า ภายในราชวังมีนาฬิกาที่สวยงามอยู่ประมาณ 700 กว่าเรือน นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งโดยใช้ศิลปะของจีนและญี่ปุ่นที่แสดงถึงความเป็นตะวันออก มีห้องของเจ้าชายชาลล์ที่ 3 และพระองค์ก็เสียชีวิตทีห้องนี้
พวกเราถ่ายรูปได้แต่เพียงบริเวณด้านนอกนี้เท่านั้น นอกนั้นก็เดินตามไกด์ฟังบรรยายไป
จากนั้นพวกเราก็เดินออกมาถ่ายระเบียงด้านนอก
พระราชวังตั้งอยู่บนเนินเขา ใกล้แม่น้ำ ระหว่างวังกับแม่น้ำมีสวนของราชวงศ์
เห็นดงไม้ Casa De Campo
จากนั้นไกด์ก็พาพวกเราไปทานับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารจีน
มื้อแรกเป็นอาหารจีนอร่อยมาก กินกันจนเกลี้ยง อาจจะเพราะหิวมากนั่นเอง
จริงๆแล้วตามโปรแกรมเราต้องไปเมืองคอร์โดบ้า
แต่จะรีวิวเมืองมาดริดให้จบก็จะขอรีวิวก่อน
จากนั้นไกด์มาส่งเราที่จุดเดิมผ่าน Plaza Espana เพื่อจะเดินทางไปยัง Puerta del Sol เพื่อถ่ายรูปกับกิโลเมตรที่ 0
พวกเราเดินผ่านมหาวิหาร Almudena Cathedral อีกครั้ง
เดินไปไม่ไกลก็ถึง Plaza Mayor เป็นนลานกว้างๆสี่เหลี่ยม มีร้านอาหารสเปน ร้านของที่ระลึก เดินไปเรื่อยๆจะมีร้านขายของที่ระลีกเยอะมาก
อาคารสวยงาม
จากนั้นพวกเราก็เดินต่อไป ระหว่างที่เดินพื้นทางเดินมีรูปหมีเกาะสตอเบอรี่ด้วย
เดินสักพักก็ถึง Puerta del Sol ซึ่งเป็นศูนย์กลางของถนนหลายสายมาบรรจบกัน และที่นี่ก็คือเป้าหมายที่เราจะเริ่มเดิน shopping กัน
มีลานน้ำพุ
และใกล้ๆกันก็มีอนุเสาวรีย์ กษัตริย์ Philip III
จากนั้นเราก็ไปถ่ายรูปกับกิโลเมตรที่ 0
จากนั้นก็ไปถ่ายรูปกับมีรูปปั้น หมี เกาะต้นสตรอเบอร์รี่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมือง มาดริด
จากนั้นก็ถึงเวลาเดิน shopping กัน แถวนี้ไม่มีร้าน brand name ดังๆอย่าง Louis Vuitton หรือ Chanel แต่มีร้านขายสินค้ามากมาย เช่น Zara, Mango,Pull and Bear และร้านขายเสื้อผ้ามากมาย รวมทั้งมีห้างสรรพสินค้า el corte ingles มีของซื้อมากมาย
Tax ที่นี่เริ่มต้นที่ 10%-17% โดยขึ้นอยู่กับราคาสินค้า ยิ่งรวมกันมาก ยิ่ง refund tax ได้เยอะ
บริเวณนี้มีซอกซอยเยอะแยะที่ให้เราเดินซื้อของกันสนุก
และใกล้ๆบริเวณน้ำพุก็มีคนมาแสดงกิจกรรมต่างๆ
พวกเราเดิน shopping ด้วยความสนุกสนานจนไม่ทันนัดไปทานอาหารเย็น จึงต้องหากินเอง
เราเดินชม San Miquel Market เป็นตลาดติดแอร์ มีร้านอาหารหลากหลาย เช่นอาหารทะเลเผา เช่นกุ้ง หอย ปู ปลาและ ทาปาส นอกจากนี้ยังมีขนมหวาน ลูกกวาด ผลไม้ และน้ำผลไม้คั้นสด
ทาปาส(Tapas) คือ ของว่าง หรือ พวก คานาเป้ ใช้มือหยิบทาน คำเดียวหมด โดยอาจจะเป็นแฮมชื้นเล็กๆกับขนมปัง หรืออาจจะใส่น้ำมันมะกอกร่วมด้วย ชาวสเปนนิยมทานทาปาสเป็นมื้อค่ำ เพราะมื้อหลักของชาวสเปนจะเป็นมื้อกลางวัน ดังนั้นมื้อค่ำของชาวสเปนจะเป็นอาหารเบาๆ
ห้างที่นี่ปิดประมาณ 4 ทุ่ม ดังนั้นมัวแต่เดินซื้อของ และทำ Tax Refund จนใกล้เวลาห้างปิด ไม่มีเเวลานั่งทานอะไรเลย จึงซื้อของกลับไปกินที่โรงแรม
สตอเบอรี่อร่อยมาก ทั้งหวานและสด ราคากล่องละ 1.5 ยูโร
พวกเรานั่ง Taxi กลับโรงแรม Malia Avenida America Hotel โดยค่าโดยสารเริ่มต้น ที่ 3.5 ยูโร พวกเราไปถึงโรงแรม เสียค่าใช้จ่าย 18.90 ยูโร
กลับมาถึงโรงแรม พวกเราก็รีบเข้านอน และเตรียมตัวเดินทางต่อไป