ลิสบอน

6 พฤษภาคม 2560

คลิกก่อนหน้านี้ คอร์โดบ้า-เซวิลล์

โปรแกรมวันนี้พวกเราตื่นแต่เช้าเพราะต้องเดินทางไกลมากจุดหมายของเราวันนี้ไปเที่ยวลิสบอนประเทศโปรตุเกส

เราเดินทางจากเมืองเซบีย่าไปลิสบอนระยะทาง 461 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง

ระยะทางไกลมาก ชมวิวข้างทางเหมือนๆกันหมดมีแต่ต้นมะกอกตลอดสองข้างทาง

ลิสบอน (Lisbon)เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศโปรตุเกส ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำทากัส (Tagus River)อยู่ฝั่งตะวันตกของยุโรป ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของคาบสมุทรไอบีเรีย และเป็นเมืองสงบ สบาย และอากาศดีมาก ในหน้าร้อนเดือนมิ.ย.- ส.ค. อุณหภูมิประมาณ 36-38 องศาเซนเซียส เดือนพ.ย.-ธ.ค.จะมีอากาศหนาวและฝนตกเกือบทุกวันและช่วงเดือน ม.ค.- ก.พ. เป็นช่วงหน้าหนาวที่สุด

เมื่อห้าร้อยปีก่อน เมืองนี้เป็นท่าเรือออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติค นักเดินเรือชาวโปรตุเกสออกเดินทางเพื่อไปล่าอาณานิคมเแล้วทำมาค้าขายจนประเทศร่ำรวย โดยเฉพาะการค้าเครื่องเทศจากประเทศอินเดีย นอกจากนั้นโปรตุเกสยังไปล่าอาณานิคมในอีกหลายๆประเทศทั้งอาฟริกา เอเซีย และละตินอเมริกา ปัจจุบันภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาที่มีคนพูดมากเป็นอันดับที่เจ็ดของโลก

รถขับเข้ามาในลิสบอน ขึ้นสะพาน 25 de Abril Bridge เป็นสะพานแขวนคล้ายสะพานgolden gateที่ซานฟานซิสโก

เราเก็บวิวที่สวยงามบน 2 ข้างทางของสะพาน

National Sanctuary of Christ the King รูปปั้นพระเยชู คล้ายกับ ริโอเดอจาเนโร( Rio de Janeiro ) ที่บลาซิล แต่เล็กกว่า ที่คล้ายกันเพราะ Cardinal Patriarch ได้ไปเยือนที่นั่นเมื่อปี 1934 และได้แรงบันดาลใจจึงกลับมาปั้นบ้างในปี 1950 และเสร็จในปี 1959

เมือรถผ่านสะพานเรามองวิวด้านซ้ายเห็น Monument of Discoveries อนุเสาวรีย์แห่งชัยชนะ และTorre de Belem หอคอยเบเล็งอยู่ไกลๆ

ซุมเข้ามาหน่อย

วิวฝั่งขวาบ้าง เห็นอ่าวจอดเรือทั้งเรือยอร์ทและเรือส่งสินค้า

จากนั้นรถก็พาพวกเราไปส่งย่านเมืองเก่า Bairro Alto อยู่ด้านบนสุดของภูเขา ซึ่งเป็นย่านบันเทิงกลางคืนที่มีชื่อที่สุดของเมือง เพื่อรับประทานอาหารเที่ยง

คนโปรตุเกสท่าจะชอบกระเบื้องมาก ดูตึกรามบ้านช่องประดับประดาด้วยกระเบื้องหินอ่อนสวยงาม

ร้านอาหารที่พวกเราจะไปรับประทานกันอยู่ในซอยนี้

ในนี้จะมีร้านอาหารและบาร์เหล้าจำนวน 360 ร้านแต่ละร้านจะมีพื่นที่ 40-80 ตรม.จะมีร้านอาหารโปรตุเกส ,sea food และบาร์เหล้าและผับ ไกด์บอกว่ากลางคืนคึกคักมาก คนเยอะแยะ จนแทบไม่มีทางเดินคล้ายๆถนนข้าวสารของบ้านเรา

แต่เรามาเร็วกว่าเวลา ร้านยังจัดแจงอาหารไม่เสร็จ ไกด์จึงพาเราไปยังจุดชมวิวที่ Miradouro Sao Pedro de Alcantara พวกเราเดินออกจากซอย บริเวณตรงข้ามซอยมีรถรางที่เลื่อนขึ้นลงตามเขาระยะทาง300 เมตร ค่าโดยสาร 80 เซ็นต์ ซึ่งทำให้คนสามารถเดินทางขึ้นลงเขาได้สะดวก

คนที่นี่น่าจะมือซนไม่เบา เขียนรถรางจนเปอะไปหมด

พวกเราขึ้นมาดูวิวที่ Miradouro Sao Pedro de Alcantara เป็นจุดชมวิวลิสบอนที่สวยแห่งหนึ่ง

มีสวนหย่อมเล็กๆให้นั่งพักผ่อนชมวิวกัน

อีกมุม

พวกเราถ่ายรูปและชมวิวประมาณ 15 นาที ก็เดินกลับไปยังร้านอาหารไทยชื่อสุโขทัย ซึ่งอยู่ในซอยที่พวกเราเดินออกมา

อาหารมื้อนี้อร่อยที่สุดในทริปครั้งนี้เพราะมีอาหารไทยแค่ 1 มื้อ มีแกงไก่ ผัดกระเพรา น้ำพริกกระปิ ไข่เจียว ที่เหลือไม่ได้ถ่ายรูปเพราะหิวจัด

รอบนี้ได้ไกด์คนไทย เป็นเจ้าของร้านอาหารสุโขทัยที่พวกเราไปทานชื่อคุณอู้ดมาเป็นไกด์ให้พวกเรา
ไกด์พาเราไปเที่ยววิหารเจอโรนิโม่ (Jeronimos Monastery)กันต่อ
วิหารแห่งนี้ถูกสร้างโดยพระเจ้ามานูเอลที่1 (Manuel I of Portugal) จากเงินบริจาคของวาสโกดากามา (Vasco da Gama) เพื่อถวายแด่ Saint Jeronimo ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของนักเดินเรือทั้งหลาย เมื่อค.ศ.1511หรือในช่วง สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ของอยุธยาซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับโปรตุเกสเข้ามาติดต่อขอเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย และเป็นช่วงที่โปรตุเกสร่ำรวยที่สุดในยุโรป และเป็นชาติมหาอำนาจสูงสุด จากการผูกขาดการค้าเครื่องเทศจากอินเดีย

วิหารใหญ่และยาวมากต้องถ่ายไกลๆถึงจะเห็นทั้งหมด

บริเวณด้านหน้าวิหารงดงามมาก

วิหารนี้ใช้เวลาสร้างกว่า 100 ปี และต่อเติมอีก 20 กว่าปีจึงจะเสร็จ ศิลปะตกแต่งสไตล์โกธิค บวกกับศิลปะของฝรั่งเศสและอิตาลี่ ที่เรียกว่า มานูเอลลีน (Manueline)ตามชื่อของพระเจ้ามานูเอลที่ 1 ผู้สร้างโบสถ์แห่งนี้ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโปรตุเกส โดยได้รับแรงบันดาลใจ จากอุปกรณ์เดินเรือทั้งหลาย จึงมักออกแบบ ซุ้มประตู หน้าต่าง และหัวเสา แกะสลักลวดลายที่อ่อนช้อยงดงาม เช่นพวก พืชน้ำ เปลือกหอย เกลียวเชือก ปมเชือก ขดเชือก เสมอเรือ และอุปกรณ์เดินเรือในสมัยนั้น

นอกจากนี้จะเห็นรูปองุ่น ใบไม้ ผลไม้ ลิง นก แกะสลักตามที่ต่างๆ

ไกด์พาพวกเราเดินเข้าไปในโบสถ์ ภายในกว้างขวาง ในโบสถ์มีลักษณะคล้ายไม้กางเขน

เมื่อผ่านประตูเข้ามา จะมีหีบศพหิน 2 ใบ อยู่ทางซ้ายและขวา คล้ายกันมาก แกะสลักด้วยศิลปะแบบ มานูเอลลีน (Manueline) ทำขึ้นพร้อมกัน ในปี 1880

ฝั่งขวามือของทางเข้าจะเป็นที่หีพศพของวาสโกดากามา ( Vasco Da Gama)

นักสำรวจชาวโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปคณะแรกที่ค้นพบประเทศ อินเดีย โดยได้รับมอบหมายจาก พระเจ้ามานูเอล ที่ 1 ใช้วิธีการเดินทางโดยอ้อมแหลมกู๊ดโฮป (Cape of Good Hope) จนมาถึงชายฝั่งมาลาบาร์ (Malabar Coast) เมืองคาลิคัต (Calicut) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย และทำการค้าเครื่องเทศกับโลกตะวันออก จนทำให้ประเทศโปรตุเกสเรืองอำนาจมากในสมัยนั้น

ไกด์บอกว่ามีศพของวาสโกดากามาจริงอยู่ในนี้

ส่วนฝั่งซ้าย (ไม่ได้ถ่ายรูปไว้)จะเป็นหีพศพของกวีคนสำคัญผู้บันทึกเรื่องราวการเดินเรือสมัยนั้นอย่าง Luís de Camões เขามีความสำคัญขนาดวันที่เขาเสียชีวิต 10 มิถุนายน ก็ยังใช้เป็นวันชาติของชาวโปรตุเกสอีกด้วย

เดินไปอีกหน่อยจะเห็นกระจกตกแต่งหลายๆสี เล่าเรื่องของชีวิตมหากษัตริย์โปรตุเกสในสมัยนั้น

ดูความใหญ่ของเสา ศิลปะมานูเอลลีน (Manueline)

จากนั้นพวกเราก็เข้าไปชมในส่วนชั้นในมี 2 ชั้น มีความสวยงามเช่นกัน

ยังคงตกแต่งด้วยศิลปะแบบ มานูเอลไลน์ (Manueline) ซึ่งประยุกต์มาจากสิ่งต่างๆที่พบเห็นที่เรือและทะเล เช่น เปลือกหอย เกลียวเชือก เป็นต้น

มองลงมาเห็นเสาใหญ่มาก

จากนั้นเราก็ออกมาข้างนอก เพื่อไปยังที่ต่อไป

ไกด์พาเราไปเขต Belém เพื่อซื้อทาร์ทไข่ที่ร้านดัง Pastéis dé Belém เป็นร้านเก่าแก่เปิดตั้งแต่ปี 1837

ไปถึงร้านคนเยอะมากเลย ถ้าซื้อกลับบ้านต้องต่อคิวยาวมาก แต่ถ้านั่งทานในร้านไม่ต้องรอนานเลย

มาดูบริเวณด้านหน้าเคาเตอร์กันบ้าง

บริเวณนี้เป็นส่วนที่เขากำลังอบทาร์ทไข่

ได้มาแล้ว รสชาดแสนอร่อย หอมหวาน กรอบนอก นุ่มใน

พวกเราชิมทาร์ทไข่เสร็จแล้วก็เดินไปยังจุดหมายต่อไป

เราเดินผ่านสวนหย่อม ไกด์เล่าให้ฟังว่าชาวโปรตุเกสมักจะมานั่งตามสวนสาธารณะในวันอาทิตย์ หรือวันหยุด จะมาพักผ่อนโดยมีการปิคนิคและนั่งเล่นกัน

วันนี้เป็นวันอาทิตย์มีตลาดนัด จะมีสินค้าขายจำนวนมาก เช่น รถขายเบียร์ คนเล่นดนตรี เครื่องแก้ว สินค้ามือ 2 และอื่นๆ

มีร้านค้ามาตั้งร้านมากมาย แต่เราไม่มีเวลาเดินชมเลย ได้แต่เดินผ่านๆ

จากนั้นพวกเราก็เดินไปยังอนุสาวรย์แห่งการค้นพบดินแดนใหม่ (Monument of Discoveries )ตั้งอยู่ด้านเหนือบริเวณปากแม่น้ำ Tagus ออกแบบโดยสถาปนิกชาวโปรตุเกสชื่อ แองเจโล ซึ่ เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 500 การสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายเฮนรี่ ท่านชอบการเดินเรือมากจนมีฉายาว่า (Henry the Navigator)ท่านมีความสนใจเรื่องการหาทางลัดไปอินเดียเพื่อที่จะค้าเครื่องเทศ แต่ท่านสิ้นพระชนม์ซะก่อน หลังจากนันวาสโกดากามาก็ทำได้สำเร็จ

ไกด์พาเราไปดูแผนที่โลกและอธิบายการเดินทางของวาสโกดากาม่าและการเดินเรือของชาวโปรตุเกสผ่านอาฟริกาและอ้อมแหลมกู้ดโฮป ( Cape of Good hope ) โดยแหลมนี้เปลี่ยนชื่อมาจาก “แหลมพายุ” (Cape of Storms) เพราะเมื่อก่อนชาวโปรตุเกสเดินเรือผ่านแหลมนี้ไม่สามารถเดินเรือต่อไปได้เพราะมีพายุและมีอุปสรรคหลายๆอย่าง กษัตริย์โปรตุเกสจึงเปลี่ยนชื่อเป็นแหลมกู้ดโฮป หลังจากเปลี่ยนชื่อก็สามารถเดินทางต่อไปได้ ผ่านมาดากัสกา แล้วมาเอเซีย มาเก๊า พม่าและมาเมืองไทยปี 1511 และเดินทางต่อไปที่มะละกา และติมอตะวันออก ทุกครั้งที่มีการเดินเรือก็จะมีการค้าขาย เช่นเครื่องเทศ ไม้ และทองคำ ซึ่งส่งผลให้โปรตุเกสเป็นประเทศที่ร่ำรวยมากในขณะนั้น

Monument of Discoveries อนุเสารีย์ได้ถูกออกแบบให้เหมือนกับเรือและใบเรือมีความสูง 30 เมตรหรือตึก 5ชั้น ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการเดินเรือ มีลิฟท์ชึ้นไปเพื่อไปถึงจุดชมวิวที่เมืองลิสบอน มีรูปปั้นทั้งหมด 33 คน คนแรกคือเจ้าชายเฮนรี่ คนที่สองคือกษัตริย์เปโตร คนที่สามคือ Vasco da Gama ผู้คนพบอินเดีย และคนที่สี่คือ Pedro Álvares ผู้ค้นพบบราซิล นอกจากนี้เมีนักคณิตศาสตร์ มิชชั่นนารี หมอสอนศาสนา นักวิทยาศาสตร์ และพ่อค้า จิตกร นักเขียนบันทึกการเดินทาง กัปตันเรือ เป็นต้น

จะเห็นสะพาน 25 de Abril Bridge มีความยาว 2.278 กิโลเมตร ยาวที่สุดในยุโรป ทอดข้ามแม่น้ำ Tagus

อีกด้านเป็นท่าจอดเรือยอร์ท

แดดแรงมาก พวกเราทนร้อนไม่ไหว จึงเดินทางต่อไปยังที่อื่นต่อไป

หอคอยแห่งเบเล็ง (Torre de Belém) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก สร้างเมื่อปี 1517 ใช้เวลาสร้างเพียง 6 ปี ตกแต่งด้วยศิลปะ มานูเอลไลน์ ใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ มีหน้าต่าง แต่ละบานใส่ปืนใหญ่เพื่อทำการรบข้าศีก ห้องใต้ดินเก็บอาวุธโบราณ ชั้นบนเป็นดาดฟ้าสำหรับมองข้าศึก

บริเวณนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินเรือ เชื่อว่าเป็นจุดของความสำเร็จที่ออกจากจุดนี้ วาสโกดากามาก็เดินทางโดยออกจากจุดนี้เช่นกัน

ในปี 1755 เกิดแผ่นดินไหว มีประชากรเสียชีวิต 50,000 กว่าคน แต่ไม่มีผลกระทบกับ Torre de Belém แสดงว่ามีความแข็งแรงมาก

ที่นี่ปิด 5 โมงเย็น เราไปไม่ทัน ไม่สามารถขึ้นไปได้ ได้แต่ถ่ายรอบนอก

บริเวณนี้คนเยอะมาก ถ่ายตรงไหนก็เห็นคนเต็มไปหมด

ใกล้ๆกันมีหอคอยจำลองตั้งอยู่

พอไม่ได้ขึ้นหอคอยเราก็เดินออกมาเจอกับอนุเสาวรีย์แห่งนี้

อนุสาวรีย์เครื่องบินนี้อยู่ไมไกลจากหอคอยเบเล็ง สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ของนักบินชาวโปรตุเกสคนแรก

เดินถ่ายรูปรอบๆเครื่องบินได้สักพัก พวกเราก็ไปรับประทานอาหารเย็นกัน เย็นนี้ทานอาหารพื้นเมือง

หลังจากนั้นรถก็พาพวกเราก็กลับโรงแรม วันนี้พัก Lutecia Hotelเป็นโรงแรม 4 ดาว

มาเที่ยวโปรตุเกสไม่ทันได้ซื้ออะไรเลย เพราะรีบมาก ไม่มีโอกาสแม้แต่จะหยิบของเลย ต้องเที่ยวแข่งกับเวลา….เฮ้อ

พอถึงโรงแรมสิ่งแรกที่ทำคือจัดการกับผลไม้และน้ำที่ซื้อมาให้หมด พร้อมกับแพ๊คกระเป๋า เพราะพรุ่งนี้ต้องบินไปบาร์เซโลน่าช่วงบ่าย

ตอนต่อไป ซินทรา

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here