ซินทรา
โปรแกรมเที่ยววันนี้เป็นสถานที่ๆเราอยากไปเที่ยวมากที่สุดในทริปนี้ เราจะไปเที่ยวเมืองซินทรากัน เราออกเดินทางจากโรงแรม 9.00 น.ตามเวลาที่ไกด์นัด เพื่อไปเที่ยวเมืองซินทรา รถขับพาพวกเรามุ่งหน้าไปแหลมโรก้าก่อน
ระยะทางจากลิสบอนไปแหลมโรก้า 40 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 45 นาที
แหลมโรกา(Capo Da Roca) เป็นจุดตะวันตกสุดของทวีปยุโรป ตั้งอยู่บนมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ(North Atlantic Ocean)
เดินเข้ามาใกล้ๆ
บริเวณนี้มีคนถ่ายรูปเยอะมาก
ชายฝั่งทะเลที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงประมาณ 150 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ไกด์บอกว่าถ้ามาตอนพระอาทิตย์ตกจะสวยงามมาก
มองไปไกลๆเราเห็น ประภาคาร Cabo da Roca ซึ่งมีความสำคัญมาตั้งแต่ศตวรรษที่16ในด้านการป้องกันตามแนวชายฝั่งและการเดินเรือ ปัจจุบันยังคงใช้งานอยู่ถึงปัจจุบัน
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางไปยังจเมืองซินทรา รถขับขึ้นเขาและทอดตามชายฝั่งทะเล
ซินทรา (Sintra) เมืองบนยอดเขาที่ดูน่ารักสวยงามราวกับถอดแบบมาจากเทพนิยาย มีปราสาทอยู่มากมาย และแวดล้อมด้วยสวนที่งดงาม จนเมืองนี้ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี ค.ศ. 1995
เมืองซินทรามีปราสาทหลายๆปราสาทให้เยี่ยมชมกัน แต่ด้วยเวลาโปรแกรมที่จำกัดพวกเราจึงไปชมได้แค่ ปราสาทพีนา (Pena Castle) เพียงที่เดียว
การที่จะขึ้นไปชมปราสาทพวกเราจะต้องเปลี่ยนรถไปเป็นรถประจำทางหรือรถเล็กเช่นตุ๊กตุ๊ก เพราะทางคดเคี้ยวมาก คงต้องใช้คนที่ขำนาญเป็นพิเศษ รถประจำทางที่จะไปปราสาทพีน่าปสาย 434 หรือถ้าใครชอบเดินก็สามารถเดินขึ้นได้แต่ก็คงเหนื่อยมากเลย
บริเวณนี้เป็นป้ายรถเมล์ที่พวกเรารอขึ้น
วันนี้รถติดมาก เพราะเขาทำถนนจึงทำให้การจราจรติดขัดไปหมด และคนรอคิวเยอะมาก ใช้เวลารอรถประจำทางนานมากกว่าจะได้ขึ้นรถ
รถแล่นผ่าน Moorish Castle เสียดายมากไม่มีเวลาได้ขึ้นไปชม เพราะโปรแกรมวันนี้เราชมแค่ปราสาทเดียว
Moorish Castle ถูกสร้างในราวศตวรรษที่ 9 ซึ่งเดิมชาวแขกมัวร์เป็นผู้ปกครองและถูกชาวคริสต์ยึดได้ในศตวรรษที่12 ดูแล้วคล้ายกำแพงเมืองจีนแต่เล็กกว่า ข้างบนเป็นป้อมปราการ
ปราสาทพีนา (Pena Castle) ปราสาทสีพาสเทลหวานๆ เหมือนกับเทพนิยาย ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของเมืองซินทราได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลกในปี 1995 และยังเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของประเทศโปรตุเกส
แรกเริ่มเดิมทีปราสาทนี้เป็นสถานพำนักของนักบวช และในช่วงศตวรรษที่ 18 เกิดแผ่นดินไหวและฟ้าผ่าลงมา จึงถูกปล่อยร้างทิ้งไว้ ต่อมากษัตริย์พระองค์ที่ 13 ของโปรตุเกส คือพระเจ้าจอห์นที่สอง ทรงปรับปรุงปราสาทแห่งนี้มอบแด่ให้ราชินี Eleanor of Viseu เพื่อเป็นตัวแทนแห่งความรักของพระองค์ โดยให้สถาปนิกชาวเยอรมันเป็นผู้ออกแบบ โดยได้แรงบันดาลใจจากปราสาทลุ่มแม่น้ำไรน์ ศิลปะเรเนซองส์ นิโอโกธิคและแขกมัวร์(Moorish)
พวกเราเดินไปถ่ายรูปไปเรื่อยๆ วันนี้แดดแรงมากเลย
แต่แดดแรงขนาดไหนเราก็ไม่ย่อท้อ เราก็เดินขึ้นไปบนปราสาทเรื่อยๆ
พวกเราเดินผ่านประตูปูด้วยกระเบื้องสวยงามแปลกตา
รูปปั้น Triton เหนือประตูทางเข้า ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนานครึ่งมนุษย์และครึ่งปลานั่งอยู่บนเปลือกหอย
ภายในปราสาทมีห้องรับแขก ห้องทานอาหาร ห้องนอน ตกแต่งด้วยกระเบื้องงดงาม
แต่เขาไม่ให้เข้าไปข้างใน
เราเดินขึ้นมาข้างบนเข้ามาภายในวิหารน้อย (Chapel)
ที่นี่ไม่ว่ามุมไหน ก็โพสท่าถ่ายรูปได้หมด
จากจุดนี้เราถ่ายวิวมองจากข้างบนลงไป เห็นพระราชวังซินทรา ( Sintra Palace )แต่ไกล
หลังจากถ่ายรูปในหลายๆมุม เราก็เดินลงจากปราสาทกัน
ขากลับก็ต้องนั่งรถประจำทางกลับเหมือนเดิม แต่เนื่องจากรถประจำทางมาช้ามาก ไกด์จึงให้พวกเรานั่งตุ๊กๆลงจากเขาเพราะกลัวว่าเวลาไม่ทันไปขึ้นเครื่องบิน
ด้วยเวลาที่กระชั้นพวกเราจึงต้องไปทานอาหารเที่ยงที่สนามบิน มื้อนี้เป็นอาหารกล่องที่ทางร้านเตรียมให้เพราะถ้านั่งทานที่ร้านอาจตกเครื่องบินได้
พวกเราบินจากลิสบอนมาบาร์เซโลน่าประมาณ 1.50 ชั่วโมง มาถึงก็เกือบ 2 ทุ่ม
ที่สนามบินบาร์เซโลน่าใหญ่มาก มีร้าน ZARA ใหญ่มากและอีกหลายๆร้านน่าเข้ามาก แต่ไม่ได้เข้าซักร้านเพราะไกด์ไล่ไม่ให้เข้าไปดูอะไรเลย
จากนั้นเราก็ไปรับประทานมื้อเย็นกัน….มื้อนี้เป็นอาหารจีน
ผ่าน Casa Batllo ออกแบบโดย Antoni Gaudi ทาวน์เฮาส์ ฝีมือการออกแบบของอันโตนิโอ เกาดี้ (สถาปนิกและศิลปินชื่อดัง) ทาวน์เฮาส์หลังนี้ออกแบบให้เหมือนโลกใต้บาดาลและระเบียงด้านนอกเหมือนหัวกระโหลก เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาบรรยายต่อ
พวกเราพักที่โรงแรม Senator Hotel อยู่ใกล้สนามฟุตบอลบาร์เซโลน่า
วันนี้เที่ยวไม่เยอะแต่เดินทางเยอะมาก มาถึงโรงแรมก็รีบนอนเลยเพราะพรุ่งนี้วางแผนว่าจะไปเดินเล่นสนามฟุตบอลบาร์เซโลน่ากันแต่เช้า