บาร์เซโลน่า
เช้านี้พวกเราตื่นเต่เช้าเพื่อที่จะไปเยี่ยมชมสนามฟุตบอลบาร์เซโลน่า สนามอยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 1 กิโลเมตร
สนามฟุตบอลบาร์เซโลน่า มีชื่อเรียกว่าสนาม คัมป์ นู(Camp Nou)แปลว่าสนามใหม่ เริ่มก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 1954 และแล้วเสร็จในปี 1957 ซึ่งเริ่มเปิดใช้งานครั้งแรกในวันที่ 24 ก.ย. 1957 มีความจุมากถึง 98,787 คน
สนามเปิดให้เข้าชม 08.30 น- 18.00 น.พวกเรามาถึงก่อนเวลาจึงถ่ายรูปด้านหน้าไปพลางๆก่อน
ด้านหน้ามีรูปนักเต๊ะดาวเด่น อย่าง เมสซี่ ด้วย ถึงไม่ได้ถ่ายรูปกับตัวจริงถ่ายรูปกับรูปภาพก็ยังดี
เมื่อได้เวลาเราก็เข้าไปถ่ายรูปด้านในกัน ภายในมีพิพิภัณฑ์ให้เข้าชม ซึ่งมีภาพถ่ายของนักเตะบาร์ซ่าทุกยุคทุกสมัย และก็ยังมีถ้วยแชมป์ให้ได้ชื่นชมนอกจากนี้ยังมีของที่ระลึกขาย เช่น เสื้อ ผ้าพันคอ หมวก แก้วน้ำ ลูกฟุตบอลและอื่นๆ ค่าเข้าชม 25 ยูโรคะ
พวกเราก็เดินเข้าไปข้างในแต่ถ่ายรูปได้เพียงแค่ด้านหน้าเท่านั้นเพราะ พวกเราต้องรีบไปเที่ยวที่อื่นอีก
จากนั้นพวกเราก็นั่งรถเพื่อเที่ยวชมเมืองบาร์เซโลน่า เมืองนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองศิลปะของเกาดี้ก็ว่าได้ โดยจะเห็นว่าจะเห็นผลงานของเกาดี้อยู่มากมาย
• Casa Vicens (1878-1880)
• Palau Güell (1885-1889)
• Colegio de Santa Maria de Jesús (1889-1894)
• Santa Coloma de Cervelló (1898-1915)
• Casa Calvet (1899-1904)
• Casa Batlló (1905-1907)
• Casa Milà (La Pedrera) (1905-1907)
• Parc Güell (1900-1914)
• Sagrada Família (1884-1926)
เช้านี้เราเทียวชม มหาวิหารซากราดา แฟมิเลีย Sagrada Familia บนถนน Carrer de Mallorca
Sagrada Familia เป็นสถาปัตยกรรมประจำเมืองบาร์เซโลนา ออกแบบโดย แอนโทนี่ เกาดี้ (Antoni Gaudí) เป็นผลงานที่เรียกว่า โมเดิร์นนิสโม หรือ อาร์ตนูโว (Art Nouveau) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
วิหารแห่งนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2425 มีกำหนดก่อสร้างหอคอยทั้งหมด 18 หอคอย นับตั้งแต่ปีเริ่มสร้างจนถึงปัจจุบันสร้างเสร็จไปแล้วแค่ 8 หอคอย เนื่องจากเกาดี้ได้เสียชีวิตไปเสียก่อน ปัจจุบันมหาวิหารแห่งนี้ก็ยังดำเนินการก่อสร้างคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปีพ.ศ.2569
ซากราดา ฟามิเลีย มีความสูง 170 เมตร มีความแปลกตาจากงานชิ้นอื่นของเกาดี้ ตรงสีสันอันเรียบนิ่งแบบโทนสีธรรมชาติ ให้ความรู้สึกที่สงบผ่อนคลายและเยือกเย็นและมีความละเอียดละเมียดที่ละไม
ผู้ที่ริเริ่มสร้างวิหารแห่งนี้ ได้แก่ โฮเซป โบคาเบลลา พ่อค้าหนังสือ ได้จ้างสถาปนิกคนแรกให้ออกแบบวิหารแห่งนี้ให้เป็นโบสถ์สไตล์โกธิก แต่พอเกาดี้มาสานต่อโครงการตอนที่เขาอายุ 32 ปี เขาก็ผสมผสานแนวคิดแฟนตาซีผสมผสานกับศาสนา โดยเป็นศิลปะแบบนีโอ โกธิค ผสมผสานกับความเป็นธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ดอกไม้ ต้นไม้ เถาไม้เลื้อย ร่วมด้วย
เกาดี้มีความศรัทธาในศาสนาอย่างมาก โดยดูจากลวดลายแกะสลักที่ด้านนอกตัวโบสถ์และภายใน มีรูปแกะสลักที่เกี่ยวกับศาสนาอยู่ไปทั่ว สมกับเป็นงานชิ้นสุดท้ายที่เขาอุทิศตนให้กับศาสนจักร
การก่อสร้างวิหารใช้เงินที่ได้จากการบริจาคและจากค่าเข้าชมโดยไม่ขอรับการสนับสนุนใดๆจากภาครัฐเลย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในตอนเริ่มแรก มีทั้งคนพอใจและคัดค้านแบบวิหารของ Gaudi เพื่อให้วิหารเป็นของทุกคน เงินที่ใช้ในการก่อสร้างทั้งหมดจึงมาจากการบริจาคของผู้ศรัทธา ต่อมาเมื่อมีการเปิดให้คนเข้าชม คณะกรรมการก่อสร้างวิหารก็นำเงินที่เก็บได้จากค่าเข้าชมมาใช้เป็นค่าก่อสร้างด้วย
หลังจากถ่ายภายนอกสักพักพวกเราก็เข้าไปชมในส่วนของพิพิธภัณฑ์กัน
แม้เกาดีจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ผู้ร่วมงานของเขายังคงสานต่อโครงการโดยอาศัยรูปถ่าย ภาพร่าง และแบบจำลองที่เกาดีทำไว้ แต่แล้วในปี พ.ศ. 2479 โครงการก็ต้องหยุดชะงักเพราะสงครามกลางเมืองในสเปน ห้องใต้ดินและแบบจำลองอย่างละเอียดก็ถูกเผาทำลาย แต่เมื่อสิ้นสุดสงครามทีมงานก็กลับมาทำงานกันต่อ โดยอาศัยภาพร่าง ภาพถ่ายและแบบจำลองอื่น ๆ ที่รอดพ้นจากการถูกทำลาย ภายหลังได้นำคอมพิวเตอร์มาใช้ออกแบบ
บอร์ทเล่าเรื่องราวของการสร้างมหาวิหารแห่งนี้
แบบจำลอง model ทีถูกทำลายและนำคอมพิวเตอร์กราฟฟิคมาใช้ในหลายรูปแบบ
อันตอนี เกาดี (Antonio Gaudi) เป็นสถาปนิกชาวชาวคาตาลัน ประเทศสเปน เกิดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1852 ในช่วงการทำงานของเกาดี้ เขาได้รับอิทธิพลจากงานเขียนในยุคกลางพวกโกธิค บวกกับแนวรูปร่างของสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ ทำให้งานของเขาสะท้องออกมาในแนวของการตกแต่งแบบอลังการ ซึ่งถือได้ว่า เขาเป็นผู้นำศิลปะสมัยใหม่จริง ๆ
เกาดี้ใช้ชีวิตในปั้นปลายชีวิตแบบใช้ชีวิตสันโดษในกระท่อมข้างโบสถ์ ปฏิเสธเงินเดือน สวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ รับประทานอาหารมังสะวิรัต เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ปี 1926 เขาเสียชีวิตเมื่ออายุ 73 ปี จากอุบัติเหตุรถรางชน ในตอนนั้น Gaudi แต่งตัวสกปรก ไม่มีเงินติดตัว สภาพไม่ต่างไปจากขอทาน แม้แต่ Taxi ยังปฏิเสที่จะรับ หลังจากเข้าโรงพยาบาล 3 วันเขาก็เสียชีวิต ศพของเขาได้ถูกฝัง ไว้ในซากราดาฟามิเลียด้วย
ครอบครัวของเขาเป็นช่างตีเหล็ก ชีวิตในวัยเด็กไม่ค่อยดีนักเพราะป่วยเป็นโรคไขข้ออักเสบ ทำให้ไม่สามารถไปเที่ยวเล่นได้เหมือนเด็กอื่นทั่วๆไปเพราะต้องนั่งอยู่กับที่ แต่การนั่งอยู่กับที่ก็มีประโยชน์กับตัว Gaudi เองเพราะทำให้เขากลายเป็นคนที่สนใจธรรมชาติอย่างมากโดยเฉพาะรูปทรงของไม้ หิน ที่ในเวลาต่อมา Antoni Gaudi ก็ได้นำเอารูปทรงต่างๆของสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่นรูปโค้งมนของใบไม้หรือก้อนหินมาใช้ในงานของตน
จากนั้นพวกเราได้เดินเที่ยวชมภายในมหาวิหารกัน
มีการผสมผสานกับธรรมชาติอย่างลงตัว ตัวอาคารบรรจงประดับด้วยโมเสคจากเวเนเชี่ยน ประดับด้วยปฏิมากรรมแกะสลักจากหินหลายพันชิ้นจากศิลปินสเปน
เสาแต่ละเสาสูงมาก ผสมผสานศิลปะกัอย่างลงตัวดูแล้วคล้ายๆกับต้นไม้
พวกเราแหงนคอกันจนเมื่อยเชียว
ประดับประดาด้วย stain glass เวลาแสงแดดส่องสะท้อนจะมีสีสันหลากหลายเข้ามาภายใน สวยมากเลย
แม้แต่ประตูทางออกยังมีลวดลายที่มีเอกลักษณ์
พวกเราออกมาถ่ายรูปด้านนอกกันอีกครั้ง
จากนั้นพวกเราเดินทางไปยังยอดเขามอนด์จูอิค
รถแล่นผ่าน หอคอยคู่เวเนเชียน เป็นหอคอยคู่สีอิฐน้ำตาลแดง สูง 47 เมตร
Arenas de Barcelona ในสมัยก่อนเคยใช้เป็นสถานที่แข่งวัวกระทิง สามารถจุคนได้มากถึง 16,000 คน แต่ต่อมาได้ยกเลิกการจัดแข่งสู้วัวกระทิงเพราะเป็นการทารุณสัตว์และโหดร้าย ปัจจุบันได้ปรับปรุงเป็นห้างสรรพสินค้าแทน
บริเวณนี้คล้ายกับอนุเสาวรีย์ชัยฯ ในบ้านเรา เป็นศูนย์กลางที่มีรถผ่านหลายสาย
ทางขึ้นยอดเขามอนต์จูอิค( Mont Juic ) ซึ่งเป็นจุดชมวิวของเมือง
เห็น Torre Agbar ตึกหัวกระสุน ออกแบบโดย Jean Nouvel แต่ไกล
บนนี้มีร้านอาหารสำหรับนั่งชมวิวด้วย
ใกล้ๆกันมีสวนหย่อมเล็กๆของโรงแรม บริเวณจุดชมวิวจะมีศิลปินนักร้องมาขายCDและ มาบรรเลงเพลงให้ฟังเพราะมาก
จากนั้นพวกเราก็ลงจากเขาพื่อไปทานอาหารเที่ยง ที่ร้านอาหารบริเวณท่าเรือเก่า “Port Vell”
รถแล่นผ่านอนุเสาวรีย์คริสโตเฟอร์โคลัมบัส อยู่ในท่ายืนชี้บอกทางไปโลกใหม่
เห็นต้นปาล์มเรียงรายริมทะเล
บริเวณนี้ยังเป็นศูนย์การค้าที่ทันสมัย มี โรงภาพยนต์ IMAX ร้านค้า ร้านอาหาร บรรยากาศซิวๆ น่านั่งสบายๆ
ท่าจอดเรือยอร์ท
เรารับประทานอาหารกลางวันที่ร้านนี้
บรรยากาศในร้านดูสบายๆ นั่งซิวๆดูทะเลกัน
อาหารมื้อนี้เป็น seafood อร่อยดี และสดมาก
รถมาส่งเราที่ถนนกราเซีย เราแวะถ่ายรูปที่ Casa Batllo’
Casa Batllo’ คาซ่าแปลว่าบ้าน บ้านหลังนี้ฉลองครบรอบ 100 ปีไปเมื่อ ค.ศ. 2007 ยูเนสโก้ประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2005
ออกแบบโดยเกาดี้ โดย Jose Battlo คหบดีนักอุตสาหกรรมสิ่งทอของเมืองเป็นผู้จ้างให้ก็เข้ามาปรับปรุง และออกแบบให้ใหม่ (ซึ่งเป็นช่วงที่เกาดี้กำลังมีชื่อเสียงพอดี) โดยมีคอนเซปไม่มีเส้นตรง ภายในตกแต่งจากไอเดียก้นหอย ใช้กระจกสี และหินโมเสกประดับ ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมกัน
ตัวตึกสร้าง เลียนแบบหลังของมังกร ส่วนลายกระเบื้องก็เปรียบได้กับเกล็ด ของมังกร
บริเวณประตูทางเข้ามีห้องจำหน่ายตั๋ว มีคิวต่อแถวยาวเชียว พวกเราไม่ไดเข้าไปชมข้างในเลย เพราะกลัวไม่ได้ shopping
แอบเสียดายมาก ทีไม่ได้เข้าไปชมด้านใน ขอเอารูปจาก internet มาให้ชมกัน
พวกเราไปเดินเล่นและซ้อปปิ้งกัน โดยเราจะไปเดินเล่นที่ Passeig de Gracia ซึ่งเป็นแหล่ง ซ้อปปิ้งสินค้า Brand name มากมาย เช่น Louis Vutton ,Prada ,Chanel, Gucci รวมทั้ง Zara Mango และร้านชั้นนำอีกมากมาย
ที่สเปน vat refund สูงสุด 17% คะ…น่า shopping มากเลย
เราเสียเวลา shopping แถวนี้นานมาก
ร้านค้าที่ี่นี่ตกแต่งสวยงาม
มุ่งหน้าไป Plaça de Catalunya แล้วต่อมาที่ Les Rambles เพื่อที่จะไปหาของรับประทานที่ตลาดสด Mercado de La Boqueria
La Ramblas มีระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร ทอดตัวยาวจาก Plaza Catalunya ซึ่งเป็นจัตุรัสใจกลางเมืองบาร์เซโลน่า เรื่อยไปจนสุดที่บริเวณท่าเรือ Port Vell ซึ่งอยู่ริมทะเล ทีเราไปรับประทานอาหารเมื่อกลางวัน
บริเวณนี้มีร้านขายของที่ระลึกหลากหลาย ร้านดอกไม้ และมีศิลปินวาดรูปขาย
และเราเดินต่อไปยัง ตลาดสด Mercado de La Boqueria เพื่อหาอาหารเย็นทานกัน
ตลาดมีร้านขายหลากหลายเช่น อาหาร sea food, ร้านขายขาหมูและแฮมแบบต่างๆ
ร้านขายผลไม้และน้ำผลไม้ดูสดและน่าทาน ที่สำคัญราคาน่าคบมาก
Mazapan รูปร่างขนมคล้ายๆกับขนมลูกชุบของไทย โดยเอาแป้งร่วนๆ มาทำเป็นรูปทรงต่างๆ แล้วแต่งสีเพิ่มลงไป
พวกเราเดินไปเดินมาได้แต่ผลไม้ แต่ไม่ได้ทานอะไรเลยเพราะพึ่งรับประทาน seafood เมื่อมื้อกลางวัน สุดท้ายเพื่อไม่ให้เสียเวลาจึงไปรับประทาน subway กัน
จากนั้นพวกเรานั่ง Taxi กลับที่โรงแรม Senator Hotel ราคาเริ่มต้น 2 กิโลเมตรแรก 3.5 ยูโร เราจ่ายค่า Taxi ไปทั้งสิ้น 12 ยูโร