ก่อนหน้านี้ Goreme Open Air Museum -Pasabag Fairy Chimneys
อิสตันบูล (Istanbul) เป็นเมืองที่มีความสำคัญที่สุดและเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในตุรกี มีอายุกว่า 2,600ปี เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ เปลี่ยนชื่อไปทั้งหมด 5 ครั้ง ตั้งแต่คอนสแตนตินรบชนะโรมันและมาสร้างเมืองใหม่ที่นี่จีงตั้งชื่อว่า “นิวโรม ” หลังจากคอนสแตนตินเสียชีวิตก็เปลี่ยนเป็น “คอนสแตนติโนเปิล(Constantinople) ” ต่อมาเปลี่ยนชื่อ ‘ไบเซนไทน์” พอมุสลิมมาปกครองเปลี่ยนเป็น” อิสลามมาบูล” เมื่อ มุสตาฟาปฏิวัติย้ายเมืองหลวงไปอยู่อังการาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “อิสตันบูล”
อิสตัลบูล เป็นเมืองเดียวของตุรกีที่มีพื้นที่อยู่ใน 2 ทวีปคือทวีปเอเชีย และทวีปยุโรปโดยทั้ง 2 ทวีป ถูกแบ่งออกจากกันโดยช่องแคบบอสฟอรัส ทะเลามาร์มารา และช่องแคบดาร์ดาแนลส์
ส่วนในยุโรปแบ่งออกเป็นอิสตันบูลเก่าและอิสตันบูลใหม่โดยมีโกลเดนฮอร์น (Golden Horn)เป็นทะเลชายฝั่งรูปร่างเว้าเหมือนเขาสัตว์คั่นอยู่ เมื่อเวลามีแสงส่องมาจะสะท้อนเป็นสีทองจึงเรียกว่า Golden Horn
และเมืองอิสตันบูลอยู่ฝั่งยุโรปเพียง 3% และอีก 97 %อยู่ฝั่งเอเซีย
วันนี้เราไปขึ้นกระเช้า cable car ขึ้นยอดเขา Pierre Loti Hill เพื่อขึ้นชมวิวเมืองอิสตันบูลและวิวของ Golden Horn
เราลงจากบันไดก็เจอกับลานกว้าง ซึ่งเป็นจุดชมวิว
เปียลอททึ (Pierre Loti) เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Julien Viaud นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งมาเยี่ยมเยือนอิสตันบูลเมื่ออายุเพียง 26 ปีและหลงใหลในวัฒนธรรมออตโตมันและความสวยงามของเมืองนี้ทำให้เขาเขียนหนังสือบรรยายความสวยงามของอิสตันบูล ทำให้คนรู้จักเมืองนี้มากขึ้นจนทำให้รัฐบาลได้ส่งสาส์นขอบคุณเขาและได้ตั้งชื่อเขาเป็นชื่อถนนและร้านกาแฟที่เนินเขา Eyüp
บนนี้มีจุดชมวิว ร้านกาแฟและหลุมฝังศพ
เราไม่ได้ขึ้นเขาไปไกลมากเพราะมีที่นั่งจิบกาแฟตุรกีชมวิวสวยๆ
นักท่องเที่ยวนั่งจับจองชิมกาแฟและชมวิวบริเวณระเบียงกันมากมาย
ได้เวลาพอสมควรพวกเราก็เดินทางไปที่อื่นต่อไปฮิปโปโดรม
ฮิปโปโดรม(Hippodrome)หรือ จัตุรัสสุลต่านอาห์เมต (Sultanahmet Square) เป็นจัตุรัสกลางเมืองยุคไบแซนไทน์ ฮิปโปโดรมมีความหมายฮิปโปในภาษาโรมันแปลว่าม้า ฮิปโปโดรมหมายถึงการแข่งรถเทียมม้า โดยจักรพรรดิเซปติมุส เซเวรุส (Septimius Severus) แต่เดิมนั้นใช้เป็นสถานที่แข่งม้าและจัดงานเฉลิมฉลองของกรุงคอนสแตนติโนเปิล ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีสถานที่สำคัญๆตั้งอยู่รอบๆเช่น สุเหร่าสีน้ำเงิน สุเหร่าเซนต์โซเฟีย และยังเป็นจุดนัดพบยอดนิยมของเมืองอิสตันบูลอีกด้วย
มีเสา 3 ต้นเรียงกันในลานฮิปโปโดรม เริ่มจากเสาต้นแรกคือ
1. เสาโอบิลิสก์ของฟาโรห์ธุตโมซิส (Obelisk of Thutmose)
2.เสารูปงู (Serpentine Column)
3. เสาคอนสแตนตินที่ 7 (Column of Constantin VII)
ยอดแหลมๆด้านข้างเป็นสุเหร่าน้ำเงิน (Blue Mosque) ที่เดี๋ยวพวกเราจะไปเที่ยวชมกัน
เสาโอบิลิสก์ของฟาโรห์ธุตโมซิส (Obelisk of Thutmose) จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงนำมาจากเมืองคาร์นักในอียิปต์ เป็นของฟาโรห์ธุตโมซิส เสาทำจากหินแกรนิตทรงสี่เหลี่ยมมียอดแหลม เดิมมีความยาว 60 เมตร แต่ขนมาไม่ไหวจึงตัดให้เหลือ 20 เมตร
เสาสลักภาษาอียิปต์โบราณที่มีอายุกว่า 3,000 ปีความเชื่อว่าช่วงที่แสงอาทิตย์ส่องมาตรงกับเสาจะขอพรดีที่สุด
ด้านล่างของฐานมีภาพแกะสลักองค์จักรพรรดิและเหล่าข้าราชบริพาร
เสารูปงู (Serpentine Column ) เสาสำริดสลักเป็นรูปงู 3 ตัวกระหวัดรัดพันกัน (เหลือเพียงงู 2 หัว อีกหัวหนึ่งอยู่ในบริติชมิวเซียม กรุงลอนดอน)เดิมเสานี้สูง 8 เมตรแต่ภายหลังชำรุดเสียหายปัจจุบันความสูงจึงเหลือเพียง 5 เมตร
เดิมตั้งอยู่ที่วิหารเทพอพอลโล เมืองเดลฟี ประเทศกรีซ สร้างเมื่อ 479 ปีก่อนคริสตกาล สร้างโดยผู้ค้นจาก 31 เมืองที่ได้รับชัยชนะเหนือเปอร์เซีย (เป็นเสากรีกที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงอิสตันบูล) จะมีชื่อเมืองจารึกอยู่บนตัวงูใกล้ฐานของเสา แต่ปัจจุบันตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดีของกรุงอิสตันบูล
เสาคอนสแตนตินที่ 7 (Column of Constantin VII) สร้างในปี 1483 แกะจากหินปูนเป็นรูปเกษตรและชาวประมง เคลือบด้วยบรอนซ์ ทองเหลือง และทองแดง ภายหลังถูกทหารสงครามครูเสดครั้งที่4 ชาวโรมันที่เข้ามาช่วยรบเห็นว่าสวยจึงเอาไฟเผาเพื่อลอกเอาสิ่งประดับภายนอกไป
ถัดมา German Fortain โดมนี้สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงกษัตริย์เยอรมันที่เคยมาเยือนที่นี่ในปี 1901
บรรยากาศบริเวณฮิปโปรโดรม
เราไปเที่ยวต่อที่ Blue Mosque หรือ สุเหร่าสุลต่านอาร์เหม็ด ตั้งชื่อตามพระนามของสุลต่านที่โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อให้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าสุเหร่าเซ็นต์โซเฟีย แต่พอสร้างจริงกลับเล็กกว่า สร้างขึ้นในราวปี ค.ศ. 1609-1616 ใช้เวลาสร้าง 6 ปี สุลต่านอาห์เหม็ตได้ชื่นชม Blue mosqueอยู่เพียงปีเดียว ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วยวัยเพียง 27 พรรษา
การเข้ามาชมสุเหร่ทุกแห่งจะต้องถอดรองเท้า ถอดหมวก ถอดแว่นตาดำ ห้ามส่งเสียงดังเป็นการเคารพสถานที่ สามารถถ่ายรูปได้
การแต่งกานจะต้องแต่งกายสุภาพ ผู้ชายต้องสวมกางเกงขายาว ส่วนผู้หญิงต้องใส่เสื้อมีแขน และสวมกระโปรงหรือกางเกงยาวคลุมเข่า และต้องโพกผ้าพันศีรษะให้เรียบร้อย
(Blue Mosque) สุเหร่าสีน้ำเงิน มีหอเรียกสวด อยู่ 6 หอ เป็นหอคอยสูงให้ผุ้นำศาสนาขึ้นไปตะโกนร้องเรียกจากยอด เพื่อให้ผู้คนเข้ามสวดมนต์ตามเวลาในสุเหร่า ถึงแม้จะไม่ใหญ่เท่ากับสุเหร่าเซ็นต์โซเฟียแต่ในนี้ยังใช้เป็น โรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่ประชุมและที่พักกองคาราวาน ในอดีตสถานที่นี้เคยเป็นที่ให้สุลต่านและนางในฮาเร็มทำละหมาดและสวดมนต์อีกด้วย
เขามีการซ่อมแซมจึงเปิดให้พวกเราเข้าชมเพียง 10%
ภายในประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีฟ้าที่เรียกว่า อิซนิค (iznik) ลวดลายเป็นดอกไม้ต่างๆ เช่นกุหลาบ ทิวลิป คาร์เนชั่น เป็นต้นมีทั้งหมด 50กว่าลายและกระเบื้อง 20,000 กว่าชิ้น ตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา
กระจกนำเข้ามาจากเมืองเวนิชทั้งหมด
ในอดีตการวาดลวดลายกระเบื้องเป็นต้นไม้สีเขียวกับดอกไม้สีแดง พอเวลาผ่านไปจึงกลายเป็นสีฟ้าๆ
โดมตรงกลางแต่ละโดมมีขนาดใหญ่มาก
มีหน้าต่าง 260 บาน หน้าต่างมีลวดลายประดับสวยงาม มีแสงส่องเข้ามาเพิ่มความสวยงามของสุหร่าน้ำเงินมาก
ด้านนี้มีการซ่อมแซมอยู่ เขาเอากระดาษมาติดที่เสาเพื่อให้ดูดีขึ้น
และมีแบบแปลนจำลองให้ดูก่อนออกด้วย
ด้านตรงข้ามเป็นสุหร่าเซนต์โซเฟีย แต่วันนี้เข้าไม่ได้เพราะเขามีพิธีการอยู่ข้างใน เราจึงจะไปพรุ่งนี้
พวกเราเดินต่อไปยังพระราชวังท็อปกาปึกัน อยู่ด้านข้างของสุหร่าเซนต์โซเฟีย
น้ำพุไกเซอร์วิลเฮล์ม (Kaiser Wilhelm) สร้างเมื่อปี คศ 1900
สุหร่าเซนต์โซเฟีย
ที่ต่อไปเป็น พระราชวังโทพคาปิ ซึ่งอยู่ด้านข้างของสุเหร่าเซนต์โซเฟีย