เมืองสปลิท

8 พฤษภาคม 2558

วันนี้เป็นวันที่ไม่ต้องตื่นเช้ามาก เพราะพวกเราอยู่ในเมืองสปลิทแล้ว จะไปเที่ยวชมเมืองสปลิทกัน

สปลิท (Split) เมืองใหญ่ที่สุดของแคว้นแดลเมเชียและเป็นอันดับสองของโครเอเชียรองลงมาจากซาเกรบ เป็นเมืองที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี ตั้งแต่ยุคกรีกและโรมัน

รถบัสมาส่งพวกเราบริเวณริมอ่าวใกล้กับพระราชวังดิโอคลีเธียน (Diocletian Palace) มีต้นปาล์มปลูกเป็นแถวเรียงรายอยู่

มาถึงได้สักพักไกด์ท้องถิ่นก็มา พวกเราจึงเริ่มเดินสำรวจวังกัน

พระราชวังดิโอคลีเธียน (Diocletian Palace) มีอายุ1,700 ปี จักรพรรดิดิโอคลีเธียน มีบัญชาให้สร้างสำหรับเป็นวังหลังเกษียณในบริเวณอ่าวใกล้เมือง Salona บ้านเกิดของพระองค์ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 12 ปี(ค.ศ.293-305) ทรงวางแผนไว้หลังจากพระองค์ได้ทรงวางมือจากการปกครองจักรวรรดิแล้ว จึงเสด็จมาประทับอยู่ในวังแห่งนี้ตราบจนถึงวันสุดท้ายตามที่ทรงตั้งใจไว้

ไกด์อธิบายแผงผังของเมือง และก็กล่าวว่าเดิมกำแพงพระราชวังแห่งนี้สร้างติดริมทะเลตามที่ปรากฎในภาพ แต่เข้าใจว่าภายหลังอาจจะมีการถมทะเล จึงมีแผ่นดินคั่นระหว่างกำแพงวังและทะเล ปัจจุบันกำแพงพระราชวังจึงอยู่ห่างจากทะเลพอสมควร

วังมีความกว้าง 181 เมตร ยาว 215 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 31,000 ตารางเมตร มีกำแพงล้อมรอบ ทั้ง 4 ด้าน และมีป้อมปราการทั้ง 4 มุม มีประตูอยู่ตรงกลางกำแพงเมืองทั้ง 4 ด้าน กำแพงส่วนที่สูงวัดได้ 26 เมตร สร้างในลักษณะของวังที่ประทับและมีค่ายทหารประจำการพระราชวังสร้างด้วยหิน ดัลมาเชีย คุณภาพเยี่ยมจากเกาะ Brac เป็นหินสีขาวผิวมันวาวเนื้อละเอียด

จักรพรรดิโอคลีเธียน ทรงใช้ชีวิตในวังกับครอบครัวโดยมีข้าราชบริพารรับใช้และนายทหารยศสูงจำนวนหนึ่งตลอดพระชนม์ชีพดังตั้งใจไว้

หลังจากโรมันเสื่อมอำนาจ พระราชวังแห่งนี้ก็ค่อยๆถูกละเลย อีกหลายศตวรรษต่อมา ช่วงที่ต่างชาติโจมตีเมืองรอบๆสปลิท ชาวเมืองอื่นจึงอพยพมาอาศัยในพระราชวังเพราะมีกำแพงช่วยปกป้องภัยเป็นอย่างดี และอยู่กันแบบถาวร ไม่ได้อพยพไปไหนอีกเลยและต่างก็จับจองพื้นที่เป็นที่อยู่อาศัย

ปัจจุบัน พระราชวัง และบริเวณรอบๆ เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่อยู่อาศัยของประชาชน และร้านค้ามากมาย

ทางเข้าพระราชวังโบราณ ซึ่งช่วงนี้ตรงกับงานครบรอบ 40 ปีของงานโชว์ดอกไม้ ซึ่งปีนี้จัดในวันที่ 5-10 พ.ค.

ขณะที่วังโรมันที่อื่นๆ ต่างล่มสลาย, ถูกทำลายกลายเป็นซากชิ้นส่วนแทบไม่เหลือเค้า แต่วัง 1,700 ปีแห่งนี้ยังคงสภาพโครงสร้างไว้ได้จนถึงปัจจุบัน ได้รับการยกย่องให้เป็นthe greatest Roman ruin in southeastern Europe และ the best preserved classical imperial palace in the world

พวกเราเดินเข้ามาบริเวณชั้นล่างของวัง จะเห็นโครงสร้างหินที่แข็งแรง ภายในมีร้านขายของที่ระลึกอยู่เต็มไปหมด

ผู้คนอาศัยอยู่ในวังชั้นบน ส่วนชั้นใต้ถุนก็กลายเป็นที่ทิ้งขยะลงมาทับถมสะสมพอกพูนหลายร้อยปี
จนกระทั่งเมื่อประมาณ 50 กว่าปีก่อนหน้านี้ จึงได้มีการเก็บกวาดทำความสะอาดและในปัจจุบันก็ยังกำจัดไม่หมด

ว่ากันว่าแต่เดิมนั้นห้องต่างๆ ของชั้นนี้อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เรือสามารถผ่านประตูวังแล้วเข้ามาถึงใต้ถุนวังนี้ได้ ในช่วงศตวรรษที่ 1850’s ได้มีการระบายน้ำทะเลออกไปและมีการสร้างลานเลียบริมฝั่ง(RIVA)

เห็นเสาสี่เหลี่ยมทำจากหินก้อนขนาดใหญ่

เดินมาถึงห้องแรกก็เจอกับแผนผังซึ่ง คุณไกด์สาวได้อธิบายว่าวังอยู่ห่างจากเมืองหลวง Salona ลงมาประมาณ 6 – 7 กม.

ภายในจัดเทศกาลดอกไม้ ตกแต่งอย่างงดงาม

ท่อนไม้นี้มีอายุเก่าแก่แต่แรกสร้างวัง

รูปปั้นจักรพรรดิดิโอคลีเธียน แห่งจักรวรรดิโรมัน(ค.ศ. 240-311)ครองราช ช่วงค.ศ. 284 – 286 และ ค.ศ. 286 – 305 ท่านเป็นสามัญชนและได้เข้ารับราชการเป็นทหารแล้วเติบโตก้าวหน้าจากผลงานการรบในสงครามจนได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็น consulate ต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิหลังจากที่จักรพรรดิองค์ก่อนและทายาทสิ้นลง พระองค์ได้ทรงจัดให้มีการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปกองทัพจนสามารถนำกองทัพกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมสำเร็จ

จะเห็นว่าชั้นล่างนี้สร้างขึ้นด้วยวัสดุที่ด้อยกว่าและไม่มีหินอ่อนอย่างชั้นบน

เดินขึ้นมาชั้นบนมองขึ้นมาเห็นหอระฆัง

พื้นบางส่วนทำจากโมเสสโบราณ

ห้องต่างๆในพระราชวังเหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง

ผนังหินอ่อนเดิมเปิดเป็นช่องโค้งให้เห็นทิวทัศน์ท้องทะเลแต่ได้สร้างกำแพงเสริมขึ้นมาใหม่

พวกเราเดินเดินขึ้นบันไดออกมาพบลานที่เรียกว่า Peristyle (Peristil หรือ Peristilio)เป็นประตูเข้าสู่เขตราชสำนักชั้นในอย่างเป็นพิธีการ ลานกว้างขนาด 35 เมตร X 13 เมตร มีระเบียงเสาล้อมรอบทั้ง 3 ด้าน เป็นประตูเข้าสู่เขตราชสำนักชั้นในอย่างเป็นพิธีการ และเป็นที่ๆพสกนิกรหรืออาคันตุกะจะได้มาเข้าเฝ้าองค์ดิโอคลีเธียน ที่จะปรากฏองค์ต่อสาธารณะชน

เดินออกมา เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว

ที่ด้านขวามือคือสุสานดิโอคลีเธียน (Mausoleum)ปัจจุบันกลายเป็นมหาวิหาร St.Domnius
ส่วนซ้ายมือเดิมคือวิหารเทพจูปิเตอร์ (Temple of Jupiter) ปัจจุบันได้กลายเป็นหอศีลจุ่ม(Baptristry)

ด้านหลังเสาเรียงรายเป็น The Cathedral of St.Domnius

เสารูปแบบ Corinthian เสาโรมัน เน้นความหรูหรา ประดับยอดเสาด้วยลายใบไม้

และด้านบนก็เป็นหอระฆังสร้างในศตวรรษที่ 12 สไตล์โรมาเนสก์ (Romanesque) มีความสูง 60 เมตร ซึ่งเป็นจุดชมวิวของเมือง

สฟิงซ์นำมาจากประเทศอียิปต์โดยจักรพรรดิดิโอคลิเธียน แต่เดิมนำมา 12 ตัว ปัจจุบันเหลือเพียง 1 ตัวและตัวที่เห็นนี้เป็นของจริง ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 3

โถงรอ

มองกลับไปจะเห็นลานกว้างและ องค์จักรพรรดิจะเสด็จปรากฏองค์ “ในกรอบ” ใต้โค้งตรงกลางระหว่างเสาทางเข้าโถงรอ(Vestibule)

พวกเราขึ้นหอคอยเพื่อชมวิวกัน ค่าชมวิวคนละ 25 คูนา เราเดินมาซื้อตั๋วฝั่งวิหารติดกับหอระฆัง

ทางขึ้นไม่ค่อยชันเหมือนกับที่เมือง Trogir คนสูงอายุพอเดินขึ้นได้

วิว 360 องศา

มุมนี้ก็สวย

Port of Split เต็มไปด้วยเรือสำราญ รองรับนักท่องเที่ยวจากทุกมุมทวีป เรือข้ามฝากไปอิตาลี (จากเวนิส ทรีเอสเต้ และแองโคน่า Ancona และ Bari ) ประเทศกรีก และอื่นๆ

ซูมให้ใหญ่ขึ้นหน่อย

ลงมาจากหอระฆังแล้ว พวกเราจะเข้าพิพิธภัณฑ์ แต่คนเก็บเงินพูดไม่รู้เรื่องหรือพวกเราฟังไม่รู้เรื่องกันแน่ จึงให้พวกเราไปฝั่งหอศีลจุ่ม (Baptistry หรือ Baptistery)ก่อน เราจึงเดินไปตามที่เขาบอก ค่าเข้าชม 10 คูนา จริงๆแล้วมันมีตั๋วชมภายในมหาวิหาร หอศีลจุมและขึ้นหอระฆัง รวมกันแค่ 45 คูนา แต่พวกเราไม่รู้ เสียดายจัง

St. John the Baptist ตั้งแทนที่รูปเทพจูปิเตอร์ ผลงานของประติมากรชื่อก้องของโครเอเชีย Ivan Mestrovic ในปี 1954

St. John the Baptist เป็นนักเทศน์ชาวยิวในคริสศตวรรษที่ 1 ถือว่าเป็นผู้เผยพระวจนะในสี่ศาสนาคือ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาบาไฮ และ “Mandaeanism” ท่านถูกกล่าวถึงในพระวรสาร คัมภีร์อัลกุรอาน และคัมภีร์ของศาสนาบาไฮ นักบุญยอห์นแบปติสต์บางทีก็รู้จักกันในชื่อ “ยอห์นผู้มาก่อน” (John the Forerunner) เพราะถือกันว่านักบุญยอห์นเป็นผู้มาล่วงหน้าก่อนพระเยซู

หลังคาทรงโค้งมีเพดานหลุมแบ่งเป็น 64 ช่อง

สลักรูปหน้าคนในอารมณ์ที่แตกต่างกัน

เราเดินชมรอบๆวังกัน มีร้านค้าเรียงรายกันอยู่ ทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารและ ร้านกาแฟ

เมืองยังคงความสวยงามอย่างคลาสสิก

ประตูทางเข้าวังทั้งสี่ประตูตั้งชื่อตามโลหะว่า Iron, Silver, Brass และ Gold ตามความนิยมในยุคเรเนซองที่ยกย่องของเก่าให้มีคุณค่า(เป็นเงิน เป็นทอง)

เราออกมาทาง Golden Gate ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ

เมื่อออกจากปประตูก็เจอกับรูปปั้นบรอนด์ที่ใหญ่โต Bishop Gregory of Nin โดย Ivan Mestrovic สถาปนิกชาวโครเอเชีย

ท่านเป็นผู้มีคุณูปการต่อชาติอย่างมากจากการที่ท่านยืนกรานกับโป๊ปและทางคริสตจักรที่จะนำภาษาของชาติมาใช้ในพิธีการทางศาสนาแทนภาษาละติน ทำให้ชาวโครแอทได้สวดมนต์ด้วยภาษาประจำชาติของตน (ในขณะที่ประเทศอื่นๆ สวดเป็นภาษาละติน) ส่งผลให้ศาสนา,ภาษาและวัฒนธรรมของชาติเข้มแข็งมาจนทุกวันนี้

กล่าวกันว่าถ้าใครลูบหัวแม่เท้าของท่าน จะโชคดี…เราก็ขอลูบมั่งจะได้โชคดี

พวกเราก็ไปทานอาหารเที่ยงกันที่ร้านอาหารจีน ไม่ทันได้ถ่ายรูปเลย..อาหารหมดเร็วอีกแล้ว

สะพานส่งน้ำโบราณ ที่ปัจจุบันยังใช้กันอยู่

พวกเรานั่งรถต่อไปยังเมืองดูบรอฟนิค ซึ่งเป็นเมืองที่ลงไปทางใต้ระยะทาง 230 กิโลเมตร ใช้เวลา 4 ชั่วโมง

วิวข้างทางสวยจนไม่อยากจะนอน

มาเที่ยวนี้เราได้เหยียบประเทศบอสเนียด้วย เพราะรถจะต้องผ่านประเทศนี้เพื่อไปยังเมืองดูบรอฟนิค

เราผ่านด่านเพื่อเข้าเขตประเทศบอสเนีย

ประเทศในแถบนี้รับอิทธิพลมาจากอิตาลี่ วิวทะเลคล้ายๆกันไปหมดเลย

รถบัสแวะจอด 30 นาที เพื่อให้พวกเราแวะเข้าห้องน้ำและซื้อของที่ระลึกกัน

ที่นี่มีของที่ระลึกให้ซื้อมากมาย เช่นหมวก เสื้อ ผ้าพันคอ พวงกุญแจ ขนม ซ็อกโกแลต และไวน์ ที่นี่รับเงินทุกสกุล ทั้งยูโร ดอลล่าร์ และคูนา

เดินหน้าต่อไปยังดูบรอฟนิค

แวะจุดชมวิวของเมืองดูบรอฟนิค ทุกคนเฮโลถ่ายรูปกันยกใหญ่เพราะมีเวลาแค่ 10 นาที

เห็นสะพาน Franjo Tudman สะพานขึงของเมืองดูบรอฟนิค เริ่มสร้างในปี 1998 และเสร็จในปี 2002

พวกเราเดินทางมาถึงเมืองดูบรอฟนิคประมาณ 18.00 น.

รับประทานอาหารเย็นกันที่ร้านนี้ วันนี้เมนูปลาแซลมอนย่างและมีของหวานเป็นไอศครีม..อร่อยดีไม่หวานมาก

พวกเราเดินทางกลับโรงแรม คืนนี้เราพักที่ Ariston Hotel ซึ่งอยู่ไกลจากเมืองเก่าพอสมควร

เราถ่ายรูปพระอาทิตย์ลาขอบฟ้าจากหน้าต่างโรงแรม

พวกเราไม่ได้ออกไปไหนเลยเพราะ โรงแรมอยู่ไกลจากเมืองเก่ามาก..คืนนี้เราวุ่นกับการเก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับเมืองไทย…พรุ่งนี้ไปเที่ยวเมืองเก่าดูบรอฟนิคกัน

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here