เซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก พระราชวังฤดูร้อน

16 เมษายน 2559

วันนี้เราก็ออกเดินทางประมาณ 09.00 น. เพื่อไปเที่ยวพระราชวังปีเตอร์ฮอฟ เช้านี้อากาศก็ดี้ดีเช่นเคยอุณหภูมิ 12-15 องศา

พระราชวังฤดูร้อนเปโตรควาเรสต์ (ปีเตอร์ฮอฟ) ตั้งอยู่ ตั้งอยู่อ่าวฟินแลนด์ ริมฝั่งทะเลบอลติก สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชในปีค.ศ. 1720 ตามแบบเรียบง่ายของสถาปนิก ฌอง บัฟติสต์ เลอบลองด์ โดยทำการสร้างให้ติดกับชายฝั่งเพื่อใช้ในการพักผ่อนและล่าสัตว์ในฤดูร้อน ระยะทางจากเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์กถึงพระราชวัง 29 กิโลเมตรใช้เวลาประมาณ 45 นาที

วิวข้างทางใกล้ถึงพระราชวังฤดูร้อน ช่วงปลายหนาวต้นไม้ไม่มีใบไม้เลย แต่ก็สวยไปอีกแบบ

เดิมทีในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชทรงเสด็จประพาสยุโรปในปี ค.ศ. 1717 ท่านได้ทรงทอดพระเนตรเห็นพระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles) แห่งฝรั่งเศสและได้ทรงประทับใจในความสวยสดงดงามจึงได้ทรงให้นำมาร่างเป็นภาพเพื่อสร้างพระราชวังแห่งนี้ โดยอดีตนั้นให้สร้างเป็นพระราชวังขนาดเล็ก ปีค.ศ 1759 จักรพรรดินี อลิสซาเบธมีการปรับปรุงและขยายออกไปให้เป็นศิลปะผสมทั้งแบบเรอเนสซองส์ บารอค และคลาสสิก ทำให้พระราชวังปีเตอร์ฮอฟมีความสวยงามมากกว่าเดิม

พระราชวังรวมทั้งเขตใจกลางเมืองปีเตอร์ฮอฟ ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก

ภายในบริเวณมีพระราชวังที่สวยงามและที่โดดเด่นจะเป็นสวนโดยจะมี สวนส่วนล่างและสวนส่วนบนโดยสวนจะสร้างเลียนแบบ ฝรั่งเศส เยอรมันและฮอลล์แลนด์ และมีน้ำพุมากกว่า 60 แห่งทั้งเล็กทั้งใหญ่ และรูปปั้นมากกว่า 250 รูป

พระราชวังเปิดให้เข้าชม 9:00 – 20:00 น.
และปิดทุกวันจันทร์และวันอังคารสุดท้ายของเดือน ส่วนน้ำพุเปิด 11:00 – 18:00 น (เฉพาะช่วงซัมเมอร์) วันที่ 9 พฤษภาคม และสิ้นสุดกลางเดือนตุลาคม

น้ำพุของที่นี่ไม่ได้ใช้ระบบปั๊มน้ำ แต่อาศัยกลไกและแรงดันของน้ำตามธรรมชาติจากแหล่งเก็บน้ำ โดยน้ำพุจะพุ่งขึ้นมาเป็นจังหวะ ตอนที่พวกเรามาเขาทดลองเปิดน้ำพุ

สักพักเขาก็ปิดน้ำพุ เสียดายจัง

พระราชวังฤดูร้อนได้รับความเสียหายไปในช่วงสงครามโลกที่ 2 กองทัพเยอรมันเข้ามาเผาและทำลายพระราชวัง เกือบ 90% รวมทั้งขโมยของมีค่าต่างๆออกไป และได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่จากหลักฐานที่ถูกบันทึกไว้ จนมีสภาพเกือบสมบูรณ์แบบ

พวกเราถ่ายรูปรอบๆวังได้สักพักไกด์ก็พาพวกเราเข้าไปในพระราชวัง

การเข้าวังก็เหมือนทุกที่ในรัสเซียคือฝากเสื้อโค๊ทหนา ฝากกระเป๋าทีใบใหญ่และเป้ และต้องใส่ถุงเท้าที่จัดเตรียมไว้ให้ สวมคลุมรองเท้าอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้พื้นของพระราชวังเสียหาย และสำคัญสุดคือห้ามถ่ายรูปภายในวัง

ภายในสวยงามมาก ผนังและเสาล้วนทำด้วยทองทั้งหมด เราถามไกด์ว่าทองแท้รึเปล่า ไกด์บอกว่าแต่เดิมเป็นทองแท้แต่โดนเผาและทำลายไป จึงซ่อมแซมใหม่และเคลือบด้วยสีทอง

ภายในมี 200กว่าห้อง ท้องพระโรงที่มีบังลังก์ ห้องดนตรี ห้องนอน ห้องรับประทานอาหาร ห้องรูปภาพ ล้วนสวยงามโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก แต่ที่เราจะเข้าชมมีเพียง 20 กว่าห้อง

การที่เราไม่ได้ถ่ายรูปในนี้ทำให้พวกเราเดินดูพระราชวังอย่างรวดเร็วมากประมาณ 45 นาที พวกเราออกจากพระราชวังไปถ่ายรูปข้างนอกต่อ

Grand Cascade ลานน้ำพุประดับด้วยประติมากรรมรูปปั้น กะไหล่ทองในรูปทรงต่างๆ ถ้าเป็นช่วงปกติจะมีน้ำพุด้วย แต่ช่วงนี้หน้าหนาวน้ำพุจึงยังไม่เปิด..เสียดายมากเลย

รูปปั้นนักบุญ Samson ง้างปากสิงโต โดยมีความหมายแซมซั่นเป็นสัญลักษณ์แทนองค์ซาร์ปีเตอร์ และสิงโตที่อยู่ในท่าใกล้จะปราชัยคือกษัตริย์ชาร์ลที่ 12 แห่งสวีเดน

รูปปั้นกระไหล่ทองสวยงามมาก

จากนั้นพวกเราไปสูดอากาศสดชื่นที่ทะเลกันบ้าง

ทางเดินไปสู่ทะเล

คลองนี้ลงสู่ทะเลบอลติก

เห็นทะเลแล้วสดชื่นจัง

ทะเลที่นีไม่มีหาดทรายเลย มีแต่หิน

ได้เวลากลับกัน เราเดินไปถ่ายวิวพระราชวังต่อ

เสียดายจังที่ไม่เห็นน้ำพุที่สวยงาม

เดินกลับมาถ่ายมุมสวนต่อ ช่วงนี้ไม่มีดอกไม้เลยดูแห้งๆอย่างไรก็ไม่รู้

อำลาพระราชวังก่อนเดินทางกลับ

พวกเราออกมาจากพระราชวังปีเตอร์ฮอฟ มีหนังสือขายราคาถูกมากตกเล่มละ 150 บาท พวกเราไม่ได้ถ่ายรูปด้านในจึงซื้อกลับมาเป็นที่ระลึก

จากนั้นพวกเราก็ไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารพื้นเมือง

เมนูนี้เป็นข้าวกับปลาคอดและสลัด..เป็นผักสดคลุกน้ำมันมะกอก..เห็นแล้วคิดถึงส้มตำจัง

จากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับไปยังเมืองเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์กเพื่อไปยังวิหารเซ็นต์ไอแซค (St. Isaac’s Cathedral)

สร้างในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส Auguste de Montferrand เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1818 แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1858ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 40 ปี เป็นมหาวิหารออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นมหาวิหารคริสต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่กรุงโรม มหาวิหารเซนต์ปอลที่ลอนดอน และมหาวิหาร “สตา เดล ฟีออเร” ที่ฟลอเรนซ์

เป็นหนึ่งในมหาวิหารที่สวยที่สุดของรัสเซีย

ประกอบด้วยเสาหินแกรนิต 48 ต้น น้ำหนักต้นละ 114 ตัน เพื่อนำมันมาเป็นฐานรองรับโดมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 25.8 เมตร หนัก 67 ตัน บนพื้นที่กว่า 4000 ตารางเมตร

ภายในประดับประดาด้วยปฏิมากรรมบอร์น และภาพวาดกว่า 400 ชิ้น

เสาหินแกรนิตสีน้ำตาลจากฟินแลนด์ มีความสูงจากฐานถึงโดมจะมีขนาดความสูงกว่า 20 เมตร …เป็นเสาอลังการมาก

ประวัติของมหาวิหารเซนต์ไอแซคมีมายาวนานเกือบกว่าสามศตวรรษ อาจกล่าวถึงประวัติของ
มหาวิหารนี้โดยแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะคือ

ระยะแรก มหาวิหารนี้สร้างด้วยไม้ตั้งอยู่ที่แอดมิรัลตี้ (กองบัญชาการกองทัพเรือ) และในปีค.ศ. 1712 ได้ใฃ้ เป็นที่ประกอบพิธีอภิเษก สมรสของกษัตริย์ปีเตอร์มหาราช และพระนางแคทเธอรีน
ระยะที่สอง มหาวิหารตั้งอยู่ที่ลานดีเซมบริสต์ มหาวิหารสร้างด้วยหิน และกษัตริย์ปีเตอร์มหาราชทรงวางศิลาฤกษ์ ด้วยพระองค์เองเมื่อปีค.ศ. 1717 แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ขึ้น
ระยะที่สาม พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ทรงมีรับสั่งให้ก่อสร้างมหาวิหารนี้ขึ้นมาใหม่ มหาวิหารเซนต์ไอแซค ที่เห็นในปัจจุบัน

เราเดินต่อแถวเข้ามาข้างใน…โบสถ์กว้างขวาง ประดับด้วยหินและเสาหินหลากหลายสีสันกว่า 20 ชนิด มาจากหลายประเทศ ทั้งจากอิตาลี่ ฝรั่งเศส สวีเดน ไซบีเรียและอื่นๆ

ไกด์ได้เล่าให้ฟังว่าแต่เดิมวิหารแห่งนี้ทำด้วยไม้ใช้ ใช้เสาไม้เป็นฐาน 50,762 ต้น 1วันตอกได้ 25 ต้น เสาไม้ 1 ต้นใช้เวลา 45 นาทีใช้แรงงานคนต่อวัน 1:10,000-12,500 คน ใช้แรงงานทั้งหมด 400,000 กว่าคน สลับกันทำ ใช้เวลาตอกเสาเข็ม 5 ปี

ยอดโดมที่ทำเป็นรูปโต้งครึ่งวงกลมซ้อนกันด้วยแผ่นเหล็ก 420 ตัน ทองแดง 49 ตัน เหล็กหล่อ 990 ตัน ทองสัมฤิทธิ์ 30 ตัน ที่บรรเลงงานฉาบทองบนปลายยอดของโดม มีการใช้ปรอทผสมทองคำหลอมเทราดลงไปอีกชั้นมันทำให้โลหะที่ฉาบอยู่คงทนและคงกระพันมาจนถึงวันนี้ ซึ่งกรรมวิธีนี้คร่าชีวิตคนแรงงานไปจำนวนมากตลอดระยะเวลาก่อสร้าง เนื่องจากการระเหยสารพิษจากปรอท

ภาพวาดของนักบุญองค์ล้อมรอบนกพิราบขาวกางปีกสีเงิน

สิ่งที่โดดเด่นคือ เสามาลาไคต์(Malachiten) สีเขียวเป็นหินที่หายากมาจากเทือกเขาอูราลในเขตไซบีเรีย และเสาลาปิส(Lapis) สีน้ำเงินอมม่วงนำมาจากทะเลสาบไบคาลและอัฟกานิสถาน

ด้านข้างของประตูทั้งซ้ายและขวามีภาพวาดพระแม่มารีและพระบุตร ภาพนักบุญและมีเสาหินสีเขียว มาลาไคต์(Malachiten) เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.0 เมตร จำนวน 10 ต้น

เสาสีน้ำเงินอมม่วง (Lapis ) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.57 เมตร สูงประมาณ 5 เมตร จำนวน 2 ต้น

ประตูศักดิ์สิทธิ์

ด้านบนของประตูทางเข้า

ภาพ The Last Supper อยู่ด้านบนประตูทางเข้า

ภาพพระเยชูอยู่ด้านบน

การประดับประดาดูสวยงามยิ่งนัก

หลังจากชื่นชมวิหารพอสมควรพวกเราก็เดินทางต่อ รถขับเลียบไปตามแม่น้ำยังเห็นมหาวิหารเซ็นต์ไอแซคที่ดูโดดเด่น

ชมวิวกันไปเรื่อยๆก่อน เห็น Vasilyevsky Island แต่ไกล

พวกเรามาชมวิวเพื่อถ่ายรูปบนเกาะวาซิลเลียฟสกี้ เป็นเกาะใหญ่สุดของเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก มีลักษณะเป็นพื้นที่สามเหลี่ยม ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเนวา (Nava River)มีพื้นที่ 4.2 กิโลเมตรจากเหนือจรดใต้

พวกเราเดินเล่นบนเกาะแห่งนี้

เสาหินแดงคู่ ( Rostral Columm )ตั้งอยู่บนเกาะ

หลังจากชมวิวพวกเราก็ไปต่อยังป้อม Peter and Paul

ป้อมปีเตอร์แอนด์ปอล (Peter and Paul Fortress )ตั้งอยู่บนเกาะซายาชี (Zayachy)

เป็นสิ่งก่อสร้างแรกสุดของเมือง St Petersburg ประเทศรัสเซีย สร้างในปีค.ศ 1703 เป็นอนุสรณ์ชัยชนะสงครามเหนือสวีเดน ด้วยศิลปะแบบบารอคเพื่อใช้เป็นป้อมปราการในการป้องกันข้าศึกรุกราน ลักษณะเป็นรูปทรงหกเหลี่ยม กำแพงเป็นหินก่ออิฐ

ต่อมามีการสร้างขึ้นใหม่ทำด้วยหิน ในปี คศ 1706-1740 ใช้เป็นป้อมปราการและเป็นที่คุมขังนักโทษทางการเมือง และเคยใช้เป็นที่คุมขัง ซาร์เรวิช อเล็กซิส (Tsarevich Alexis) โอรสองค์โตของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ซึ่งมีความคิดไม่ลงลอยกับพระราชบิดาและเจ้าชายก็ถูกฆาตรกรรมในคุกนี้ด้วย

วิหารปีเตอร์ แอนด์ ปอล (Peter-and-Paul-Fortress) เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ 1712 ด้วยการ ออกแบบของ Domennica Trezzini สร้างเสร็จในวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ 1733 ตั้งชื่อวิหารแห่งนี้เพื่อเป็นเกียรติ์แด่ นักบุญปีเตอร์ และนักบุญปอลด์เพื่อเป็นการเผยแพร่ศาสนา ความสูงของยอดแหลมคือ 122.5 เมตร

ในบริเวณป้อมแห่งนี้มีมหาวิหารปีเตอร์แอนด์ปอลเป็นโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นโบสถ์ที่ผสมผสานศิลปะทั้งแบบนิกายรัสเซียออร์โธดอกซ์และนิกายโรมันคาทอลิก ต่างจากโบสถ์อื่นๆที่เราเห็นในรัสเซีย

ภายในมหาวิหารปีเตอร์แอนด์ปอลเป็นห้องโถงสูง

ผนังประดับด้วยลายทอง

วิหารนี้เป็นที่เก็บพระศพของราชวงศ์โรมานอฟ เริ่มต้นจากพระเจ้าปีเตอร์มหาราชเป็นองค์แรก จนกระทั่งถึงกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ (พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 )ที่ถูกลอบปลงพระชนม์ทั้งครอบครัวที่ไซบีเรียตะวันตก

ต่อมาในปีค.ศ 1998 ได้มีการตรวจ DNA พระเจ้านิโคลัส ที่ 2 และครอบครัวซึ่งประกอบด้วย พระมเหสีอเล็กซานดรา และพระธิดา 3 พระองค์คือโอลก้า (Olga) ทาเทียนา (Tatiana) และอนาสตาเซีย (Anastasia)จึงนำพระศพมาไว้ที่นี่ด้วย ส่วนที่ไม่พบคือ มาเรีย (Maria) และรัชทายาทอเล็กเซย์ (Alekxy)

โลงที่เก็บพระศพนั้น มีลักษณะเป็นโลงหินอ่อนสีขาว โลงที่มีมุมทั้ง 4 เป็นรูปนกอินทรีย์แสดงว่าเป็นโลงของกษัตริญ์และพระราชินี ถ้าไม่มีแสดงว่าเป็นเจ้าชาย

พระศพของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชที่ 1 ผู้ยิ่งใหญ่

อีกสักรูปก่อนออก

พวกเราเดินชมวิหารนี้ได้สักพัก เราก็ออกจากที่นี่กัน

เก็บบรรยากาศภายนอกวิหาร

จากนั้นพวกเราก็เดนทางไปรับประทานอาหารเย็นกัน

มื้อนี้อาหารจึน มีให้ทานเกือบ 10 อย่าง แต่เริ่มเบื่อแล้วเพราะอาหารจีนที่นี่ก็ไม่อร่อย…เก็บท้องไปกินมาม่าดีกว่า

พวกเรานั่งรถกลับโรงแรมเพื่อเตรียมแพคกระเป๋ากลับเมืองไทย…วันนี้เป็นวันแรกที่กลับถีงโรงแรมแต่วัน เพราะปกติกลับเข้าโรงแรมอย่างต่ำ 4 ทุ่มทุกวัน

ชมวิวเมืองอีกสักครั้ง

วิวยามเย็น

ข้างโรงแรมมี supermarket และร้านขายของที่ระลึก พวกเราจึงไปเดินเล่นเสักหน่อย ได้ผลไม้และแม่เหล็กติดตู้เย็นราคาไม่แพงด้วย

จากนั้นก็กลับไปแพคกระเป๋าต่อ…สุดท้ายก็นอนดึกเหมือนทุกวัน

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here