เซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก พระราชวังฤดูหนาว
15 เมษายน 2559
วันนี้เราไม่ต้องตื่นเช้ามากเพราะเที่ยวในเมืองเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก เช้าวันนี้อากาศหนาวมากประมาณ 10 องศา เราชอบมากเลยอากาศดี้ดี แต่เราก็ต้องติดโค๊ทหนาไปด้วย เผื่อลมแรง
เช้าวันนี้หิมะหยุดตกแล้ว แต่ก็ยังคงเห็นร่องรอยหิมะที่ตกเมื่อคืนอยู่
เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก (Saint Petersburg) สร้างโดยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช เมื่อ ปี ค.ศ. 1703 และย้ายเมืองหลวงจากกรุงมอสโคว์ไปยังกรุงเซนต์ปีเตอร์เบิร์กเมื่อปี ค.ศ. 1712 เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของรัสเซียมานานกว่า 200 ปี
เป็นเมืองท่าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสหพันธรัฐรัสเซีย ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเนวา( Neva)ริมอ่าวฟินแลนด์ในทะเลบอลติก ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมด 606 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 44 เกาะ เชื่อมต่อกันด้วย แม่น้ำลำคลองอีก 86 สาย สวยงามจนได้รับฉายาว่า “ราชินีแห่งยุโรปเหนือ” ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นนครที่สวยและสมบูรณ์มากที่สุดในด้านงานสถาปัตยกรรมและผังเมือง ถือได้ว่าเป็นเมืองที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
นครแห่งนี้ซึ่งสร้างขึ้นตามชื่อของนักบุญปีเตอร์ อัครสาวกของพระเยซูซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานและสัญลักษณ์ของซาร์ปีเตอร์มหาราชในความพยายามสร้างรัสเซียให้เป็นมหาอำนาจยุโรปและเจริญทัดเทียมอารยประเทศตะวันตก
สถานที่ๆน่าชมได้แก่ ป้อมปีเตอร์แอนด์พอล พระราชวังฤดูหนาว พระราชวังฤดูร้อน ป้อมประภาคาร โบสถ์เซนต์ไอแซค และอื่นๆอีกมากมายทั้งศิลปะบารอคและคลาสสิค
นครแห่งนี้ได้แบบอย่างการวางผังเมืองจากนครอัมสเตอร์ดัม โดยวัยหนุ่มพระเจ้าปีเตอร์มหาราชได้ทรงศึกษาการต่อเรือที่เนเธอร์แลนด์ เป็นเวลา 6 เดือน ทำให้พระองค์ได้รับอิทธิพลการออกแบบสิ่งปลูกสร้างและการวางผังเมืองที่มีคูคลองเล็กๆจากเมืองอัมสเตอร์ดัม โดยว่าจ้างสถาปนิกทั้งชาวอิตาลี่และฝรั่งเศสมาออกแบบ
รถขับผ่าน จตุรัส December ซึ่งมีอนุเสาวรีย์พระเจ้าปีเตอร์สร้างโดยจักรพรรดินีแคทเธอรีนที่ 2(Catherine The Great)
พระเจ้าปีเตอร์มหาราชได้ทำสงครามกับสวีเดนจนได้รับชัยชนะ ทำให้รัสเซียมีทางออกสู่ทะเลบอลติกได้ พระองค์ส่งเสริมให้ก่อตั้งกองทัพเรือ และสนับสนุนการค้าขายทางเรือในรัสเซียเป็นครั้งแรก ทั้งนี้ก็ด้วยความสนใจใฝ่รู้และการเป็นกษัตริย์นักพัฒนาของพระองค์ จึงได้รับการเทิดพระเกียรติให้เป็นจักรพรรดิแห่งรัสเซีย
รถแล่นผ่านอนุเสาวรีย์พระเจ้าปีเตอร์มหาราช
อนุเสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ด้านหน้าของโบสถ์เซ็นต์ไอแซค
อนุเสาวรีย์พระเจ้าปีเตอร์ขี่ม้าเหยียบงู ( งูหมายถีงสวีเดน)ส่วนหินหมายถึงคลื่น
วันนี้จุดแรกที่เราจะไปชมได้แก่ โบสถ์หยดเลือด
เห็นโบสถ์หยดเลือดแต่ไกล
โบสถ์หยดเลือด The Saviour-on-the-Spilled-Blood พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 สร้างโบสถ์นี้ขึ้นเป็นอนุสรณ์ให้เป็นเกียรติแด่พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ผู้เป็นพระบิดา หลังเหตุโศกนาฎกรรมที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ถูกวางระเบิดปลิดชีพโดยผู้ก่อการร้าย สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1883 แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1907 ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานว่า 20 ปี โดยใช้หินอ่อนหลากสี ประดับประดาด้านใน คงลักษณะศิลปะรัสเซียในยุคศตวรรษที่17 แบบโบสถ์ทรงหัวหอม
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โบสถ์ได้รับความเสียหายจากระเบิด มีการซ่อมแซมครั้งใหญ่ในช่วง 1990 และรัฐบาลก็เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์อย่างสมบูรณ์แบบเมื่อปี 1997 ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมโบสถ์แห่งนี้
ยอดโบสถ์มีความสูง 81 เมตร ตามปี ค.ศ.1881 ที่พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2สิ้นพระชนม์
เหตุจูงใจที่คาดกันว่าเป็นเรื่องที่นำไปสู่การลอบปรงพระชนม์มาจากหลายสาเหตุ ว่ากันว่าพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ทรงพาประเทศเข้าร่วมในสงคราม ไครเมีย และพ่ายแพ้กลับมา และพระองค์ยังทรงคิดจะปลดปล่อยชนชั้นทาส ชาวนา และกรรมกร ก่อให้เกิดความไม่พอใจหมู่เจ้าขุนมูลนาย อีกทั้งยังมีกลุ่มชนที่อ้างตนว่ารักชาติต่อต้านการปฏิรูปในหลายๆ ด้านของพระองค์ ทำให้พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์จากบุคคลหลายกลุ่มอยู่หลายครั้ง แต่ก็รอดมาได้สุดท้ายก็ถูกระเบิดของกลุ่มผู้ปฏิวัติที่ขว้างใส่รถม้าที่พระองค์กลับมาจากตรวจเยี่ยมกองทหาร ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกระทั่งสวรรคตในที่สุด
เป็นงานศิลปะแบบรัสเซียดั้งเดิม ประดับประดาด้วยโมเสสพร้อมกับรูปภาพโมเสสขนาดใหญ่ยักษ์
พวกเราถ่ายรูปแต่รอบๆโบสถ์หยดเลือดไม่ได้เข้าไปข้างในเลย
บริเวณด้านนี้ขายของที่ระลึกแต่คงยังเช้าอยู่ ร้านค้ายังไม่มากพอ
จากนั้นพวกเราก็ไปยังร้าน North way เป็นร้านขายของที่ระลึกชื่อดังและคนไทยชอบมา shopping
ร้านนี้ขายของที่ระลึกหลากหลาย เช่น อัมพัน(Amber) ผ้าพันคอ ขนสัตว์ นาฬิการัสเซีย พวงกุญแจและอีกมากมาย
อัมพันในหลากหลายรูปแบบ
ที่ขาดไม่ได้ ตุ๊กตาแม่ลูกดก
ไกด์จองเที่ยวชมพระราชวังฤดูหนาว The Hermitage มีการแสดงผลงานศิลปะที่โด่งดังจาก ทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านชิ้น ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 มีผลงานของ ลีโอนาร์โด ดา วินชี ไมเคิล แองเจโล ราฟาเอล ติเตียน แรมแบรนท์ รูเบนส์ ภาพวาดอิมเพรสชั่นนิสม์ฝรั่งเศส รวมทั้งแวนโก๊ะ มาติส โกแกง และจิตรกรชื่อดังโอกุสต์ โรแดง
พระราชวังแห่งนี้เคยใช้เป็นที่ประทับรับรองการเสด็จเยือนของรัชกาลที่ 5 ของไทยในการเจริญสัมพันธไมตรีไทย-รัสเซีย พร้อมทั้งทรงร่วมฉายพระรูปกับพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 ของสหพันธรัฐรัสเซีย
รถมาส่งเราที่จตุรัส palace square
เดินเข้ามาเราก็เห็นจตุรัสที่ใหญ่ palace square จะเห็นเสา Alexander Column ที่สร้างถวายพระเกียรติแด่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ที่พระองค์ทรงชนะ สงครามเหนือนโปเลียนของฝรั่งเศส เสาทำด้วยหินแกรนิตสีแดง หนัก 600 ตัน สูงกว่า 25 เมตร ใช้เวลาในการตั้งเสาแค่ 2 ชั่วโมงโดยใช้แรงคน ไม่มีเครื่องจักรยกใดๆทั้งสิ้น
เสานี้ตั้งด้วยแรงโน้มถ่วงอย่างเดียว..น่าทึ่งมาก
General Staff Building ออกแบบการก่อสร้างโดย Carlo Rossi ซึ่งเป็นสถาปนิคที่มีชื่อดังของรัสเซีย รูปแบบ crescent-shaped neoclassic สร้างในปี 1820-1830พิพิธภัณฑ์ส่วนของ General Staff Building นั้นจะจัดแสดงประวัติศาสตร์และความเป็นมาของชนชาติรัสเซีย รวมถึงห้องจัดแสดงนิทรรศการต่างๆ
พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจและพระราชวังฤดูหนาว (Hermitage and Winter Palace) แต่เดิมนั้นเฮอร์มิเทจนั้นเป็นชื่อเรียกสมบัติล้ำค่าของพระราชินีแคทเธอรีนที่ได้เก็บรวบรวมและชื้อภาพ เขียนชื่อดังจากยุโรปกว่า 200 ภาพ จึงต้องสร้างห้องสำหรับเก็บภาพและสมบัติล้ำค่าส่วนพระองค์และสมบัติของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชขึ้น เมื่อพระนางสวรรคตก็มีสมบัติสะสมมากมาย โดยเฉพาะภาพเขียนที่ทรงโปรดปรานมากกว่า 3,000 ภาพ เหรียญโบราณอัญมณีอันล้ำค่า จนถึงสมัยพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 มีการจัดหมวดหมู่ของสะสมทั้งหมด และเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมในปี ค.ศ. 1852
ภายหลังการปฏิวัติในปี ค.ศ. 1917 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก็กลายเป็นของรัฐบาลโซเวียต โดยทางรัฐบาลได้ขยายคอลเลคชั่นงานศิลปะ และสมบัติล้ำค่า ของพิพิธภัณฑ์ออกไปอีก โดยการนำภาพเขียนและสมบัติล้ำค่าส่วนพระองค์ มาจากพระราชวังอื่นๆ เช่น พระราชวังแคทเธอรีน พระราชวังอเล็กซานดริสกี้ พระราชวังสโตรกานอฟสกี้ และพระราชวังยูซูปอฟสกี้ มารวบรวมเอาไว้ที่เฮอร์มิเทจ
พระราชวังฤดูหนาวเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10.30 – 18.00 ปิดวันจันทร์
เฮอร์มิเทจเป็นอาคารขนาดใหญ่ 3 ชั้น ประกอบไปด้วยอาคาร 5 หลังเชื่อมต่อกันออกแบบโดยสถาปนิกหลายคน แต่กลับมีความงดงามที่เข้ากันได้อย่างลงตัว อาคารโดดเด่นด้วยสีฟ้าตัดขอบประตูและหน้าต่างด้วยสีขาว อาคาร 5 หลังได้แก่
พระราชวังฤดูหนาว (Winter Palace)
อาคารเล็ก (Small Hermitage)
อาคารเก่า (Old Hermitage)
อาคารใหม่ (New Hermitage)
อาคารโรงหนัง (Hermitage Theatre)
ไกด์จองเวลาเข้าชม 11.00 น. พวกเราเข้าไปชมในส่วนของ New Hermitage หรือ อาคารใหม่ เมื่อถึงเวลาพวกเราก็เข้าแถวเป็นกลุ่มตามไกด์เข้าไป
ไกด์พาพวกเราเข้าชมในส่วน new heritage ชมทั้งชั้น 1และ 2
เราเดินเข้าสู่ชั้นล่างของอาคารต้องฝากเสื้อโค้ดและกระเป๋าใบใหญ่หรือเป้ก่อนเข้า
ห้องแรกที่พวกเราเข้าเป็นห้องอียิปต์( Egyptian antiquities)ห้องนี้จะเก็บสมบัติต่างๆของชาวอียิปต์ ภายในมีรูปปั้น ของใช้อียิปต์โบราณ โลงอียิปต์โบราณ
ห้องต่อมา Hall of The Big Vase ไฮไลท์ของห้องนี้คือแจกกันยักษ์สีเขียวทำจากหิน Jasper สูง 2.57 ม. หนักถึง 19 ตัน…..ไม่รู้เอาไว้ใส่อะไร…ใหญ่มาก
เราเดินต่อไปยังห้อง Jupiter Hall ภายในเป็นหินอ่อนเทียม (Stucco) สีเขียว มีรูปปั้นกรีก-โรมัน
มีรูปปั้นหินอ่อนเกรีก โรมันโบราณหลากหลาย
สิ่งที่เด่นที่สุดในห้องน่าจะเป็นรูปปั้นเทพจูปิเตอร์ขนาดใหญ่ รูปปั้นหินอ่อนเทพเจ้าจูปิเตอร์
เดินผ่าน The Dionysus Room Hall นี้มีพื้นทำจากหินอ่อนสีแดง มีรูปปั้นแบบต่างๆ
จากนั้นพวกเราก็เดินขึ้นชั้น 2 กัน ก็เจอกับแจกันใบใหญ่ใบนี้ Large malachite vase
เราเดินตามไกด์ไปยังห้องต่อไปเราเข้าสู่ห้อง 207
ภาพ Madonna with Child and Two Angels ฝีมือ Paolo di Giovanni Fei
เราเดินมาที่ห้อง The Leonardo Room ห้องนี้มีรูปภาพของ Leonardo da Vinci
การตกแต่งในห้องนี้จะหรูหรา มีการใช้หินอ่อนมาทำเสา ลวดลายทองบนประตูและภาพเฟรสโกบนเพดาน
Madonna and Child with Flowers โดย Leonardo da Vinci
Madonna and Child (the Litta Madonna)โดย Leonardo da Vinci วาดเมื่อปี 1490
คนมามุงภาพนี้กันเยอะมาก เป็นภาพที่พระแม่มารีกำลังให้นมบุตรอยู่
A Pair of Lovers ของ “Giulio Romano” ซึ่งเป็นภาพชายหนุ่มและหญิงสาว ไร้เสื้อผ้าอาภรณ์อยู่บนเตียง
ต่อมาเป็น The Raphael Loggias หรือระเบียงราฟาเอล เป็นห้องทางเดินแคบๆ โดดเด่นด้วยลวดลายบนเพดานและเสาที่ก็อปปี้มาจากภาพของจิตรกรชื่อดัง ราฟาเอล ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์วาติกันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการกำเนิดมนุษย์และสัตว์ตามพระคัมภีร์ไบเบิล
ลวดลายบนเพดาน
Large Skylight Hall เพราะห้องมีขนาดใหญ่ไว้สำหรับโชว์ภาพวาดขนาดใหญ่ๆ และที่สำคัญบนฝ้าเพดานยังมีกระจกใสให้แสงสว่างส่องลงมาภายในห้อง ช่วยให้ภาพเขียนดูมีชีวิตชีวาโดยไม่ต้องใช้แสงไฟฟ้าช่วย
สิ่งที่เด่นในห้องก็คือรูปปั้นกลางห้องชื่อ The Dealth of Adonis และแจกันกับโต๊ะที่ทำจากหินมาลาไคท์
ภาพแต่ละภาพล้วนดูสวยงาม
ห้อง The Knights’ Room ตกแต่งสไตล์ Neo-Greek style
The Gallery of the History of Ancient Painting ถูกออกแบบโดย Leo von Klenze ห้องนี้มีความงดงามโดยเฉพาะลวดลายบนเพดานที่สร้างเป็นทรงโดมเป็นลวดลายเกี่ยวกับนิทานปรัมปราของกรีกโบราณ ภายในห้องจะมีรูปปั้นชองศิลปินชื่อดังของอิตาลี่และลูกศิษย์
ในห้องนี้มีรูปปั้นสวยๆอยู่ 80 ชิ้น
The Pavillion Hall จะมีนาฬิกานกยูงทองคำและไก่ทองคำ โดยช่างทำนาฬิกาชาวอังกฤษสร้างให้แก่พระนาง “แคทเธอรีน” ในศตวรรษที่ 18
ความพิเศษของนาฬิกานี้ คือ “นกยูง” จะค่อยๆ รำแพนหาง และเมื่อถึงเวลาก็จะมีเสียงปลุก ทั้งนกยูงรวมถึงต้นไม้และสัตว์อื่นๆสร้างจากทอง เท่าขนาดจริง
เราเดินในนี้ร่วม 1 ชั่วโมงก็ออกจากพระราชวัง พวกเราเก็บรูปพระราชวังฤดูหนาวก่อนออกอีกครั้ง
หลังจากเดินชมได้ประมาณ 1 ชั่วโมงพวกเราก็เดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันกัน
พวกเรารับประทานอาหารพื้นเมืองที่ภัตตาคาร มื้อนี้อร่อยดี
จากนั้นพวกเราไปเข้าชมพิพิธภัณฑ์สัตว์และธรรมชาติวิทยา ( Zoo Logical Museum )
พิพิธภัณฑ์ Zoo logical เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์สัตววิทยาที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก พิพิธภัณฑ์ตั้งขึ้นในปี 1728 สร้างโดยสถาปนิค Giovanni Lucchini ณ ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ได้รวบรวมสัตว์กว่า 40,000 ตัว และตัวอย่างทางวิทยาศาสตร์ 15,000,000 ชนิด
เปิดให้เข้าชมวันพุธถึงวันจันทร์ เวลา 11.00-18.00 น.
พอเข้ามาข้างในก็เจอกับกระดูกปลาวาฬใหญ่มาก
ปลาวาฬเพชรฆาต (Orca killer Whale ) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ อยู่ในวงศ์โลมา (Delphinidae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ออคินัส ออกา (Orcinus orca) วาฬเพชฌฆาตอาศัยอยู่ในมหาสมุทรได้ทั่วโลก ตั้งแต่อาร์กติกเรื่อยไปจนถึงแอนตาร์กติก รวมทั้งในทะเลแถบเขตร้อน
เหตุที่ได้ชื่อว่า “วาฬเพชฌฆาต” เพราะวาฬชนิดนี้กินสัตว์ทะเลอื่นๆ เป็นอาหาร รวมทั้งฉลาม โลมา แมวน้ำ สิงโตทะเล เพนกวิน หรือแม้แต่วาฬต่างสปีชีส์ที่มีขนาดใหญ่กว่า จึงได้ชื่อว่าเป็นวาฬชนิดที่ดุร้ายที่สุดในโลก วาฬเพชฌฆาตสามารถว่ายน้ำได้เร็วกว่า 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ลักษณะเด่นของวาฬเพชฌฆาตคือ มีสีดำบริเวณส่วนหลัง และมีส่วนอกและท้องเป็นสีขาว รวมทั้งบางส่วนของด้านข้างลำตัวและด้านหลังดวงตาที่มีสีขาวเช่นกัน ลำตัวขนาดใหญ่และแข็งแรงมาก บางตัวอาจมีความยาวได้สูงสุดเกือบ 10 เมตร และหนักถึง 10 ตัน
เดินต่อมาก็เจอกับ Walrus (วอลรัส) รูปร่างคล้ายสิงโตทะเล แต่ตัวใหญ่กว่ามากและมีเขี้ยวยาวหรือเรียกอีกชื่อว่า ช้างน้ำ
“วอลรัส” สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในแถบขั้วโลกเหนือ และมหาสมุทรแปซิฟิก มีหลายสายพันธุ์ด้วยกัน จะก้าวร้าวในช่วงฤดูผสมพันธุ์
ตัวผู้ที่โตเต็มวัยอาจจะมีน้ำหนักถึง 1,600 – 1,900 กิโลกรัม หรือเกือบ 2 ตัน ดำน้ำได้ลึกถึง 90 เมตร มีความโดดเด่นของพวกเขางายาวสีขาว สัตว์พวกนี้มักอยู่เป็นกลุ่ม รักครอบครัว
นกแพนกวินจักรพรรดิ (Emperor Penguin) เป็นนกเพนกวินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเพนกวินทั้งหมด และเป็นเพนกวินเพียงชนิดเดียวที่ให้กำเนิดลูกในช่วงฤดูหนาวที่แสนโหดร้ายในขั้วโลกใต้ บริเวณทวีปแอนตาร์ติกา ตามธรรมชาติ เพนกวินจักรพรรดิจะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 20 ปี แต่เคยมีการบันทึกเอาไว้ว่า เพนกวินจักรพรรดิบางตัวสามารถมีอายุยาวถึง 40 ปี
เพนกวินจักรพรรดิขนาดโตเต็มวัยนั้นจะสูงประมาณ 1.1 เมตร และหนักประมาณ 30 กิโลกรัมหรือมากกว่านั้น ซึ่งส่วนหัวและปีกของพวกมันจะเป็นสีดำ ขณะที่ส่วนท้องจะเป็นสีขาว และที่ด้านข้างของคอจะเป็นสีทอง และสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างตัวผู้และตัวเมียก็คือ เสียงร้องของพวกมัน
หมีขั้วโลกเหนือ(Polar Bear) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นนักล่าแห่งดินแดนขั้วโลกเหนือที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีถิ่นที่อยู่บริเวณอาร์กติก ขั้วโลกเหนือ แต่ไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน พบในอลาสกา แคนาดา รัสเซีย เดนมาร์ก (กรีนแลนด์) และนอร์เวย์ ภาวะโลกร้อนคุกคามพวกมันจนลดจำนวนลง โดยประมาณการว่า เหลือหมีขั้วโลกในธรรมชาติราวสี่ถึงห้าพันตัวเท่านั้น
หมีขั้วโลกหรือหมีขาว ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศรัสเซีย
ตัวผู้เต็มวัยอาจสูงได้ถึง 3 เมตร หนัก 770–1,500 ปอนด์ ส่วนตัวเมียหนัก 330-500 ปอนด์ อายุขัยโดยเฉลี่ย 30 ปี
ต่อมาเป็น highlight ของที่นี่ได้แก่ ช้างแมมมอธ( Mammoth) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตระกูลช้างที่อาศัยอยู่ในโลกนี้เมื่อ 4 ล้านปีก่อน และสูญพันธ์ไปเมื่อ 13,000-60,000 ปีที่แล้ว
แต่ละตัวมีน้ำหนักถึง 6-8 ตัน ถ้าเป็นตัวผู้ใหญ่ๆหนักถึง 12 ตัน
ขุดพบซากแมมอธทางตอนเหนือของเขตไซบีเรียของรัสเซีย มีสภาพสมบูรณ์มาก น่าจะมีอายุประมาณ 10,000 ปีก่อน
ที่เราเห็นพวกนี้ไกด์บอกว่าเขาเอากระดูกจริงมาสตาฟและใส่หนังและขนให้ดูเสมือนจริง
ในนี้มีสัตว์นานาชนิดที่เขาสตาฟที่ดูเหมือนมีชีวิต เช่น นก แมลง เสือ หมาป่าและอื่นๆอีกมากมาย เราเดินชมพิพิธภัณฑ์ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ออกไปยังถนนเนฟกี้( Nevsky Prospekt)
แม่น้ำเนวา (Neva River ) ไหลผ่านเมืองเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์กและอีก 3 เมืองได้แก่ shlisselburg, Kirovsk และ Otradnoye มีความยาว 84 กิโลเมตร
พิพิธภัณฑ์วิชาการศิลปะ Imperial Academy of Arts มีสฟิงซ์ 2 ตัวตั้งอยู่ด้านหน้า
สฟิงซ์โบราณมีอายุประมาณ 3500 ปี นำเข้าจากอียิปต์โดยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชในปี 1832
ทิวทัศน์สวยงาม
สร้างในปี ค.ศ.1710 ในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช โดยมีความยาว 4.5 กิโลเมตร เริ่มต้นที่หน้าพระราชวังฤดูหนาวและสิ้นสุดที่สถานีรถไฟมอสโคว์ จุดเด่นอยู่ที่สถาปัตยกรรมสมัยศตวรรษที่ 18-20 ที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ปัจจุบันเป็นถนนสายหลักของเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ซึ่งเป็นทั้งย่านการค้า ย่านที่อยู่อาศัย ที่ตั้งของพระราชวัง โรงละคร โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกมากมาย
ถนนเนฟกี้
บริเวณนี้มีของขายมากมายเช่นเสื้อผ้าแฟชั่น หมวก กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา เครื่องสำอาง และยังมีร้านขายของที่ระลึกอีก
พวกเราไม่ได้เดินไปไกลจากจุดที่รถส่งให้ลงเท่าใดนักเพราะมัวง่วนกับการหาซื้อของเลยไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เมื่อถึงเวลานัดพวกเราก็ขึ้นรถเพื่อไปยังพระราชวังนิโคลาสเพือ่รับประทานอาหารค่ำและชมการแสดง
วิวระหว่างทางไปรับประทานอาหารเย็น มีคลองเล็กคลองน้อย สวยงาม
พระราชวังนิโคลัส สร้างในปี ค.ศ.1853-1861 เพื่อถวายแด่แกรนด์ดยุกนิโคเลย์ ( Grand Duke Nikoley )พระโอรสองค์ที่ 3 ของพระเจ้านิโคลัสที่ 1 ออกแบบโดย Andrey Stakenshneider ด้วยศิลปะบารอคผสมกับศิลปะคลาสสิกใน ปีค.ศ.1990 พระราชวังเปลี่ยนมาเป็นสถานที่จัดศิลปพื้นเมืองของชาวรัสเซีย และรับประทานอาหารค่ำพร้อมชมศิลปการแสดง
เมื่อเดินเข้ามาเราก็เจอกับบันไดนี้
ตามรายการพวกเรารับประทานอาหารก่อนเข้าชมการแสดง
มื้อนี้อร่อยมีไข่ปลาคาเวียด้วย เขาให้รับประทานแชมเปญได้คนละแก้ว
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จพวกเราก็ไปชมการแสดงกัน พอดีไปช้ากลุ่มอื่นเขาเลือกที่นั่งด้านหน้ากันหมด เราเลยได้นั่งหลังๆ เวลาในการแสดง 2 ชั่วโมง
มีการแสดงศิลปพื้นบ้านหลากหลายชุด มีทั้งตลก สนุกสนานและเศร้า ระหว่างการแสดงเขาห้ามถ่ายรูป จึงได้รูปแค่นี้ เราดูบ้างหลับบ้าง
เมื่อแสดงไป1 ชั่วโมงมีพักเบรค จะมีอาหารว่างให้ทาน เป็นพวก คานาเป้ เค็ก ผลไม้ แชมเปญ วอสก้า ให้ชิมกัน และมีร้านขายของที่ระลึกให้แวะชม
ตรงบันไดที่เราเดินขึ้นมามีนักแสดงแต่งตัวสวยงาม ร้องเพลงให้ฟังด้วย
เราดูการแสดงจบเป็นเวลา 21.00 น. เมื่ออกมานอกประตูมีคนขายของที่ระลึกเช่นตุ๊กตาแม่ลูกดกราคาถูกมาก มีคนแย่งกันซื้อจำนวนมากรวมทั้งเราด้วย
ได้เวลาพอสมควรพวกเราก็กลับโรงแรม Park Inn By Radisson Pribaltiyskaya กัน
ถึงโรงแรมเกือบ 22.00 น. หมดแรงพักผ่อนดีกว่า